Blogs

การดูแลแผลในผู้ป่วยติดเตียง การทำแผลและการป้องกันการติดเชื้อ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

วิธีดูแลและทำแผลผู้ป่วยติดเตียง ป้องกันการติดเชื้อ | บ้านแสนรัก

เมื่อผู้ป่วยติดเตียงเกิดมีบาดแผลขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แผลกดทับ, แผลถลอกจากการเสียดสี, หรือแผลอื่นๆ การดูแลแผลนั้นจะมีความซับซ้อนและต้องใส่ใจในรายละเอียดมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีภาวะร่างกายที่เปราะบาง เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ, การไหลเวียนเลือดไม่ดี, หรือภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อ การติดเชื้อได้ง่าย การดูแลแผลที่ผิดวิธีหรือไม่สะอาดเพียงพออาจนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงที่ลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด (Sepsis) และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น การทำแผล อย่างถูกหลักการและการป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นทักษะทางการพยาบาลที่ผู้ดูแลต้องให้ความสำคัญสูงสุด ทำไมการดูแลแผลในผู้ป่วยติดเตียงจึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ? ความเสี่ยงติดเชื้อสูง: ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่บาดแผลได้ดี แผลหายช้า: การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีและภาวะขาดสารอาหาร (โดยเฉพาะโปรตีนและวิตามิน) ทำให้กระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกายเป็นไปได้ช้า ความเปียกชื้น: ในผู้ป่วยที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ความชื้นและเชื้อโรคจากสิ่งขับถ่ายเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำลายผิวหนังรอบแผลและส่งเสริมการติดเชื้อ หัวใจสำคัญของการดูแลแผล: หลักปลอดเชื้อและความชุ่มชื้นที่เหมาะสม หลักปลอดเชื้อ (Aseptic Technique): เป็นกฎเหล็กข้อแรกและสำคัญที่สุด ทุกขั้นตอนต้องสะอาดที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากภายนอกเข้าสู่บาดแผล ตั้งแต่การล้างมือของผู้ดูแล, การใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ, ไปจนถึงการไม่สัมผัสส่วนที่ต้องสัมผัสแผลโดยตรง การทำความสะอาดแผลอย่างนุ่มนวล: เป้าหมายคือการกำจัดสิ่งสกปรกและเชื้อโรคโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อดีที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ การรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการหายของแผล: แผลที่ชุ่มชื้นพอเหมาะ (Moist Wound Healing) จะหายเร็วกว่าแผลที่แห้งกรัง การเลือกวัสดุปิดแผลที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก ขั้นตอนการทำแผลอย่างปลอดภัย (Step-by-Step) คำเตือน: การทำแผลเปิดหรือแผลกดทับในระยะลึกควรทำโดยแพทย์หรือพยาบาลวิชาชีพ ผู้ดูแลในครอบครัวสามารถเรียนรู้เพื่อทำแผลถลอกตื้นๆ หรือแผลที่ไม่ซับซ้อนได้ แต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด 1. การเตรียมอุปกรณ์และผู้ดูแล เตรียมผู้ดูแล: ล้างมือให้สะอาด 7 ขั้นตอนด้วยสบู่และน้ำ หรือแอลกอฮอล์เจล เตรียมสถานที่: เลือกบริเวณที่สะอาด มีแสงสว่างเพียงพอ ปิดพัดลมเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย เตรียมชุดทำแผล (Sterile Dressing Set): จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดไว้ในถาดหรือภาชนะที่สะอาด ได้แก่ ชุดทำแผลปลอดเชื้อ (มีสำลี, ผ้าก๊อซ, ปากคีบ), น้ำเกลือล้างแผล (Normal Saline Solution), ถุงมือสะอาดและถุงมือปลอดเชื้อ, วัสดุปิดแผลที่เหมาะสม, พลาสเตอร์หรือเทปยึด และถุงสำหรับทิ้งขยะติดเชื้อ 2. การนำผ้าปิดแผลเก่าออกและประเมินแผล ใส่ ถุงมือสะอาด (ไม่ใช่ถุงมือปลอดเชื้อ) ค่อยๆ …
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียงอย่างปลอดภัย เทคนิคการยกและหมุนตัว ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

วิธีเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง (ยกตัว, พลิกตัว) อย่างปลอดภัย | ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก

หนึ่งในภารกิจประจำวันที่สำคัญและมีความเสี่ยงสูงที่สุดในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงคือ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตัวขึ้นบนเตียง, การพลิกตะแคงตัว, หรือการย้ายไปยังรถเข็นวีลแชร์ หากทำด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งกับตัว ผู้ป่วย (เช่น แผลถลอก, การพลัดตก) และที่สำคัญคือสร้างความบาดเจ็บรุนแรงให้กับ ผู้ดูแล โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่หลังซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาว การเรียนรู้เทคนิคการเคลื่อนย้ายที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Body Mechanics) จึงไม่ใช่แค่ทักษะเสริม แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อความปลอดภัยของทุกคน หัวใจสำคัญที่สุด: Body Mechanics หลักการป้องกันการบาดเจ็บของผู้ดูแล ก่อนจะเริ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ผู้ดูแลต้องจดจำหลักการสำคัญในการใช้ร่างกายของตนเองให้ขึ้นใจ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่หลังและกล้ามเนื้อ: ฐานมั่นคง: ยืนแยกเท้าให้มีความกว้างประมาณช่วงไหล่เพื่อสร้างฐานที่มั่นคง ย่อเข่า ไม่ก้มหลัง: เวลาจะยกหรือประคอง ให้ใช้วิธีย่อเข่าลงไปตรงๆ โดยรักษาแนวหลังให้ตรงเสมอ ห้ามก้มหลังหรือโค้งงอหลังเด็ดขาด ใช้กำลังจากขา: ให้กล้ามเนื้อขาซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดเป็นส่วนที่ออกแรงยก ไม่ใช่กล้ามเนื้อหลัง เข้าใกล้ตัว: จัดตำแหน่งให้ผู้ป่วยอยู่ชิดกับลำตัวของผู้ดูแลมากที่สุด เพื่อลดการใช้แรงแขนและหลัง หลีกเลี่ยงการบิดตัว: หากต้องการหัน ให้ใช้วิธีขยับเท้าและหมุนตัวไปทั้งลำตัว แทนการบิดเอี้ยวแค่ช่วงเอวหรือหลัง ทำงานในระดับที่เหมาะสม: ปรับระดับความสูงของเตียงให้อยู่ในระดับเอวของผู้ดูแลเสมอ จะช่วยให้ไม่ต้องก้มตัวมากเกินไป เทคนิคการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในสถานการณ์ต่างๆ สำคัญที่สุด: ก่อนทำการเคลื่อนย้ายทุกครั้ง ควรมีผู้ดูแล 2 คนช่วยกันเสมอหากเป็นไปได้ และต้องสื่อสารกับผู้ป่วย บอกให้ทราบว่าจะทำอะไร เพื่อลดความกลัวและเพิ่มความร่วมมือ 1. การเลื่อนตัวผู้ป่วยขึ้นด้านบนเตียง (เมื่อผู้ป่วยไถลลงมาปลายเตียง) วิธีที่แนะนำ (ผู้ดูแล 2 คน + ผ้ารองเลื่อนตัว): ปรับเตียงให้ราบที่สุดเท่าที่ผู้ป่วยจะทนได้ และนำหมอนออก ใช้ ผ้ารองเลื่อนตัว (Slide Sheet/Draw Sheet) ซึ่งเป็นผ้าผืนใหญ่ที่สอดไว้ใต้ตัวผู้ป่วยตั้งแต่ช่วงไหล่ถึงสะโพก ผู้ดูแลยืนอยู่คนละฝั่งของเตียง ม้วนเก็บชายผ้ารองเข้ามาให้ชิดลำตัวผู้ป่วย ผู้ดูแลทั้งสองคนย่อเข่าลง สื่อสารนับจังหวะ (เช่น “หนึ่ง สอง ซั่ม!”) แล้วพร้อมใจกันถ่ายน้ำหนักไปทางศีรษะของผู้ป่วยเพื่อเลื่อนตัวผู้ป่วยขึ้นไปพร้อมกัน โดยเป็นการ “เลื่อน” ไม่ใช่ “ยก” 2. การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย (เพื่อลดแรงกดทับและทำความสะอาด) เตรียมพร้อม: …
ปัญหาสุขภาพจิตของผู้ป่วยติดเตียงและครอบครัวผู้ดูแล ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

สุขภาพจิตผู้ป่วยติดเตียงและผู้ดูแล จัดการความเครียดและภาวะหมดไฟ | บ้านแสนรัก

เบื้องหลังภาพการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่เต็มไปด้วยความรักและความทุ่มเท มักมีมรสุมทางอารมณ์ที่มองไม่เห็นซัดกระหน่ำอยู่เสมอ ทั้งต่อตัว ผู้ป่วย ที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต และต่อ ครอบครัวผู้ดูแล ที่ต้องแบกรับภาระหนักทั้งทางกายและใจ การต่อสู้กับความเจ็บป่วยจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนเตียง แต่เป็นสงครามทางใจที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ปัญหาสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver Burnout) คือความจริงที่ต้องเผชิญ การหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพจิตของทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจัง ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเพื่อประคับประคองให้ทุกคนสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยกัน โลกของผู้ป่วยติดเตียง: การต่อสู้กับความรู้สึกโดดเดี่ยวและสูญเสีย ลองจินตนาการถึงการสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต การต้องพึ่งพาผู้อื่นในทุกกิจวัตรประจำวัน นี่คือโลกที่ผู้ป่วยติดเตียงต้องเผชิญทุกวัน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางใจที่ซับซ้อน ปัญหาที่พบบ่อย: ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความรู้สึกเป็นภาระ ภาวะซึมเศร้า: เกิดจากความรู้สึกสูญเสียตัวตน, สิ้นหวัง, และมองไม่เห็นอนาคต ผู้ป่วยอาจแสดงออกด้วยอาการเศร้า, หงุดหงิด, ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง, ปฏิเสธอาหาร, หรือนอนไม่หลับ ความวิตกกังวล: ความกลัวต่อความเจ็บปวด, กลัวการเป็นภาระ, และความไม่แน่นอนของชีวิต ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกระสับกระส่ายและตื่นกลัว ความรู้สึกเป็นภาระ: เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกผิดที่ทำให้คนในครอบครัวต้องเหนื่อยลำบากและสูญเสียโอกาสในชีวิตของตนเอง แนวทางการดูแลจิตใจผู้ป่วย รับฟังและยอมรับความรู้สึก: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกโดยไม่ตัดสิน การพูดว่า “เรารู้ว่ามันยากนะ” หรือ “เสียใจได้นะ” เป็นการยอมรับความรู้สึกของเขา รักษาสักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: ปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความเคารพเสมอ เคาะประตูก่อนเข้าห้อง, อธิบายก่อนจะให้การดูแล, และให้ความเป็นส่วนตัวขณะทำความสะอาดร่างกาย มอบการควบคุมเล็กๆ น้อยๆ: เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ตัดสินใจในเรื่องเล็กน้อย เช่น “วันนี้อยากใส่เสื้อสีอะไรดี” “อยากฟังเพลงอะไร” เพื่อให้เขารู้สึกว่ายังควบคุมชีวิตตนเองได้บ้าง เชื่อมต่อกับโลกภายนอก: จัดให้มีการพูดคุยผ่านวิดีโอคอลกับเพื่อนหรือญาติ, เปิดหน้าต่างรับแสงแดดและอากาศ, หรือเล่าเรื่องราวภายนอกให้ฟัง หากิจกรรมกระตุ้นสมอง: ชวนคุย, อ่านหนังสือให้ฟัง, เปิดสารคดีที่น่าสนใจ หรือเล่นเกมง่ายๆ เพื่อลดความเบื่อหน่าย เงาของผู้ดูแล: ความเครียด ภาวะหมดไฟ และความรักที่ต้องแบกรับ ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ดูแลคือผู้ที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างไม่มีวันหยุด จนบางครั้งอาจหลงลืมที่จะดูแลตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ภาวะที่อันตรายไม่แพ้กัน รู้จัก ‘ภาวะหมดไฟในการดูแล’ (Caregiver Burnout) ภาวะหมดไฟไม่ใช่ความอ่อนแอ …
การดูแลทางเดินหายใจผู้ป่วยติดเตียง การดูดเสมหะและการป้องกัน ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การดูแลทางเดินหายใจผู้ป่วยติดเตียง วิธีดูดเสมหะและป้องกัน | บ้านแสนรัก

ในบรรดาภาวะแทรกซ้อนทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยติดเตียง ปัญหาเกี่ยวกับ ระบบทางเดินหายใจ ถือเป็นหนึ่งในภาวะที่เฉียบพลันและอันตรายที่สุด การที่ผู้ป่วยไม่สามารถลุกนั่งหรือเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ส่งผลให้ความสามารถในการหายใจและการขับของเสียออกจากปอดลดลงอย่างมาก ทำให้เกิดภาวะ เสมหะคั่งค้าง ซึ่งเป็นบ่อเกิดสำคัญของ ภาวะปอดอักเสบติดเชื้อ (Pneumonia) การดูแลทางเดินหายใจให้โล่งและสะอาดจึงไม่ใช่แค่การทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบาย แต่คือภารกิจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและรักษาชีวิตของผู้ป่วย การมีความรู้ความเข้าใจใน การป้องกัน และวิธีการรับมือที่จำเป็นอย่าง การดูดเสมหะ จึงเป็นทักษะที่ผู้ดูแลต้องให้ความสำคัญสูงสุด ทำไมทางเดินหายใจของผู้ป่วยติดเตียงจึงมีความเสี่ยงสูง? การขยายตัวของปอดลดลง: เมื่อนอนราบเป็นเวลานาน กะบังลมจะขยับได้ไม่เต็มที่ ทำให้ปอดขยายตัวได้น้อยลง อากาศจึงถ่ายเทไม่สะดวก กลไกการไอไม่มีประสิทธิภาพ: การไอคือกลไกป้องกันสำคัญในการขับสิ่งแปลกปลอมและเสมหะออกจากทางเดินหายใจ แต่ผู้ป่วยติดเตียงมักมีกำลังไม่เพียงพอที่จะไอออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสมหะสะสมอยู่ภายใน ความเสี่ยงในการสำลักสูง: ปัญหาการกลืน (Dysphagia) ทำให้เสี่ยงต่อการสำลักอาหาร น้ำ หรือแม้กระทั่งน้ำลายลงสู่ปอด นำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง เสมหะเหนียวข้น: การดื่มน้ำน้อยลงหรือภาวะขาดน้ำ ทำให้เสมหะเหนียวข้นกว่าปกติและขับออกได้ยากยิ่งขึ้น การป้องกัน: หัวใจสำคัญคือทำให้ทางเดินหายใจโล่ง (Proactive Care) การดูแลเชิงป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเสมหะคั่งค้างย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ ซึ่งมีหลายวิธีที่ผู้ดูแลสามารถทำได้ 1. การจัดท่าทางที่เหมาะสม วิธีที่ง่ายและสำคัญที่สุดคือ การจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือศีรษะสูง (Semi-Fowler’s Position) 30-45 องศา บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน ท่านั่งจะช่วยให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและลดความเสี่ยงการสำลัก 2. กายภาพบำบัดทรวงอก (Chest Physiotherapy) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เสมหะที่เกาะติดอยู่ตามผนังหลอดลมหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วย การเคาะปอด: ใช้มือทำเป็นรูปถ้วย (Cupped Hand) เคาะเบาๆ แต่ให้เกิดความสั่นสะเทือนบริเวณทรวงอกและหลังของผู้ป่วย โดยเว้นบริเวณกระดูกสันหลังและลิ้นปี่ ควรทำก่อนมื้ออาหารหรือหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง การจัดท่าระบายเสมหะ: จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าทางต่างๆ ที่อาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกช่วยให้เสมหะไหลออกจากปอดส่วนปลายมายังหลอดลมใหญ่เพื่อให้ไอขับออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ 3. การกระตุ้นให้ไออย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Cough) สอนและกระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ แล้วไอออกมาแรงๆ 2-3 ครั้งติดกัน การทำเช่นนี้หลังการเคาะปอดจะช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ดีขึ้น 4. การดูแลความชุ่มชื้น กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอ (หากไม่มีข้อจำกัด) เพื่อช่วยให้เสมหะไม่เหนียวข้นและขับออกได้ง่าย …
อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ ที่นอนลม เบาะรอง และอุปกรณ์อื่นๆ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ ที่นอนลม เบาะรองและวิธีเลือก | บ้านแสนรัก

ในการต่อสู้กับแผลกดทับซึ่งเป็นฝันร้ายของผู้ป่วยติดเตียงและผู้ดูแล การพลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมงถือเป็นหัวใจสำคัญ แต่เพียงเท่านั้นอาจยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในฐานะ “ผู้ช่วย” คนสำคัญที่จะเสริมเกราะป้องกันให้แข็งแกร่งขึ้น  อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้ทำงานด้วยความนุ่มสบายเพียงอย่างเดียว แต่ถูกออกแบบตามหลักการแพทย์เพื่อ “กระจายแรงกดทับ” ไม่ให้น้ำหนักตัวไปกระจุกอยู่ที่ปุ่มกระดูกจุดใดจุดหนึ่งนานเกินไป การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยและการใช้งานอย่างถูกวิธี จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับได้อย่างมีนัยสำคัญ หลักการทำงานสำคัญ: ไม่ใช่แค่ความนุ่ม แต่คือ “การกระจายแรงกดทับ” (Pressure Redistribution) สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ ไม่ได้มาทดแทนการพลิกตะแคงตัว แต่ทำหน้าที่เสริมประสิทธิภาพในการดูแล โดยหลักการทำงานคือการเพิ่มพื้นผิวสัมผัสระหว่างร่างกายกับที่นอนหรือเบาะรองนั่ง ทำให้น้ำหนักตัวของผู้ป่วยถูกกระจายออกไปในวงกว้าง แรงกดทับต่อตารางนิ้วบนผิวหนังจึงลดลง ช่วยให้เลือดยังคงไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ลดโอกาสที่เซลล์จะขาดออกซิเจนจนตายและกลายเป็นแผลกดทับในที่สุด อุปกรณ์ชิ้นสำคัญสำหรับเตียง: ที่นอนป้องกันแผลกดทับ ที่นอนคืออุปกรณ์ที่ผู้ป่วยต้องสัมผัสยาวนานที่สุด การเลือกที่นอนที่เหมาะสมจึงสำคัญเป็นอันดับแรก 1. ที่นอนลม (Air Mattress): ตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่นอนลมคืออุปกรณ์ที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันแผลกดทับ โดยอาศัยหลักการสลับแรงดันลมในแต่ละส่วนของที่นอน ทำให้จุดที่รองรับน้ำหนักตัวของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก: ที่นอนลมแบบรังผึ้ง (Bubble Mattress): มีลักษณะเป็นปุ่มกลมๆ คล้ายรังผึ้ง เหมาะสำหรับ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง หรือใช้เพื่อการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นตัวเลือกที่ราคาเข้าถึงง่าย ที่นอนลมแบบลอน (Alternating Pressure Mattress / Tube Mattress): มีลักษณะเป็นท่อหรือลอนยาวขวางเตียง สามารถสลับการพอง-ยุบของแต่ละลอนได้อย่างอิสระ ทำให้เกิดการกระจายแรงกดทับที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าแบบรังผึ้ง เหมาะสำหรับ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง หรือ ผู้ป่วยที่มีแผลกดทับเกิดขึ้นแล้ว เพื่อช่วยลดแรงกดทับที่แผลและส่งเสริมการรักษา 2. ที่นอนโฟมทางการแพทย์ (Medical Foam Mattress) เป็นที่นอนที่ทำจากโฟมชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติในการคืนตัวและกระจายแรงกดทับได้ดีกว่าที่นอนทั่วไป เหมาะสำหรับ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำ และยังสามารถเคลื่อนไหวได้บ้าง เป็นตัวเลือกพื้นฐานในการเริ่มต้นป้องกัน อุปกรณ์เสริมเฉพาะจุด: เบาะรองนั่งและหมอนจัดท่า นอกเหนือจากที่นอนแล้ว อุปกรณ์เสริมสำหรับส่วนต่างๆ ของร่างกายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน 1. เบาะรองนั่งป้องกันแผลกดทับ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องนั่งบนวีลแชร์เป็นเวลานาน บริเวณก้นกบ (Sacrum) …
การสื่อสารกับผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถพูดได้ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การสื่อสารกับผู้ป่วยติดเตียงที่พูดไม่ได้: วิธีและเทคนิค | บ้านแสนรัก

ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ความท้าทายที่ลึกซึ้งที่สุดอาจไม่ใช่การดูแลด้านร่างกาย แต่คือ การสื่อสารกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถพูดได้ เมื่อคำพูดซึ่งเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจได้ขาดหายไป อาจทำให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว และคับข้องใจ แต่แท้จริงแล้ว การสื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงคำพูด มนุษย์เรายังมีช่องทางอีกมากมายในการรับรู้และแสดงออกซึ่งความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ที่จะ “ฟัง” สิ่งที่ไม่ได้พูด และ “พูด” ด้วยภาษาสากลแห่งความห่วงใย คือกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่โลกภายในของผู้ป่วย ทำให้การดูแลเต็มไปด้วยความเข้าใจ รักษาศักดิ์ศรี และมอบการเยียวยาทางจิตใจได้อย่างแท้จริง ความสำคัญของการสื่อสาร: มากกว่าการดูแลทางกายคือการเยียวยาทางใจ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับผู้ป่วยที่พูดไม่ได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในหลายมิติ: ประเมินความต้องการพื้นฐาน: ช่วยให้ผู้ดูแลทราบถึงความต้องการที่จำเป็น เช่น หิวข้าว, กระหายน้ำ, ต้องการเข้าห้องน้ำ หรือรู้สึกเจ็บปวด ลดความวิตกกังวลและความคับข้องใจ: เมื่อผู้ป่วยรู้สึกว่ามีคนพยายามทำความเข้าใจ พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยและเครียดน้อยลง รักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองยังคงเป็นบุคคลที่มีคุณค่า มีคนรับฟังความคิดและความรู้สึก ไม่ใช่เป็นเพียงร่างกายที่ต้องรอรับการดูแล สร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ: เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้การดูแลในทุกๆ ด้านเป็นไปอย่างราบรื่น ศาสตร์แห่งการ “รับสาร”: วิธีอ่านสัญญาณจากผู้ป่วยที่ไม่สามารถพูดได้ ผู้ดูแลต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ฟัง” คำพูด มาเป็น “นักสังเกต” ที่เฉียบคม เพื่อตีความสัญญาณต่างๆ ที่ผู้ป่วยส่งออกมา 1. อ่านจากสีหน้าและแววตา (Facial Expressions & Eyes) ดวงตาและใบหน้าคือหน้าต่างของหัวใจที่ชัดเจนที่สุด ความเจ็บปวด: ขมวดคิ้ว, กัดฟัน, ทำหน้าเบ้, ริมฝีปากเม้มแน่น ความกลัว/วิตกกังวล: เบิกตากว้าง, แววตาสั่นไหว, มองซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว ความเศร้า: แววตาเหม่อลอย, น้ำตาคลอ, มุมปากตก ความสุข/พึงพอใจ: ใบหน้าผ่อนคลาย, มีรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก, แววตาสดใส การตอบรับ: การพยักหน้า, ส่ายหน้า หรือแม้กระทั่งการกะพริบตา (อาจตกลงกันว่า กะพริบ 1 ครั้งคือ “ใช่”, 2 ครั้งคือ “ไม่ใช่”) 2. …
ผลข้างเคียงจากการติดเตียงนาน ป้องกันและแก้ไขอย่างไร ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

7 ผลข้างเคียงจากการติดเตียงนาน และวิธีป้องกันและแก้ไข | บ้านแสนรัก

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความรัก ความอดทน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่าการดูแลกิจวัตรประจำวัน คือการต่อสู้กับ ผลข้างเคียงจากการติดเตียงเป็นเวลานาน ซึ่งเปรียบเสมือนเงาที่คุกคามสุขภาพของผู้ป่วยในทุกระบบของร่างกาย การที่ร่างกายมนุษย์ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนไหวต้องหยุดนิ่งเป็นเวลานาน จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้มากมาย การมีความรู้ความเข้าใจในภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้และเรียนรู้วิธี ป้องกันและแก้ไข อย่างเป็นระบบ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คนที่คุณรักมีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยในระยะยาว เมื่อร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว: ผลกระทบที่เกิดทั่วร่างกาย การนอนติดเตียงไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นการบังคับให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานผิดไปจากธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดความเสื่อมถอยและความเสี่ยงต่างๆ ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดูแลเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้จึงสำคัญกว่าการรอแก้ไขเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เจาะลึก 7 ผลข้างเคียงสำคัญจากการติดเตียงนานและแนวทางป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเตียงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกระบบของร่างกาย ดังนี้ 1. ระบบผิวหนัง: แผลกดทับ (Pressure Ulcers) ปัญหา: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด แรงกดทับจากน้ำหนักตัวที่กระทำต่อผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูกเป็นเวลานาน จะขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้เนื้อเยื่อตายและเกิดเป็นแผลลึกที่ติดเชื้อได้ง่าย การป้องกันและแก้ไข: พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง, ใช้ที่นอนลมเพื่อกระจายแรงกดทับ, ดูแลผิวหนังให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ, และเสริมสารอาหารโปรตีนเพื่อซ่อมแซมผิว 2. ระบบทางเดินหายใจ: ภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อ (Pneumonia) ปัญหา: การนอนราบนานๆ ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ เสมหะและของเหลวคั่งค้างอยู่ในปอด กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นดี นอกจากนี้ ความสามารถในการไอขับเสมหะที่ลดลงและความเสี่ยงในการสำลักอาหารหรือน้ำลาย ยังเพิ่มโอกาสการติดเชื้อให้สูงขึ้น การป้องกันและแก้ไข: จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือศีรษะสูงบ่อยๆ, ทำกายภาพบำบัดทรวงอก (เคาะปอด), กระตุ้นให้ไออย่างมีประสิทธิภาพ, และดูแลสุขอนามัยในช่องปากอย่างเคร่งครัด 3. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก: กล้ามเนื้อลีบและข้อยึดติด (Muscle Atrophy & Joint Contractures) ปัญหา: กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานจะค่อยๆ อ่อนแรงและฝ่อลีบลง (Atrophy) ขณะเดียวกัน เอ็นและพังผืดรอบข้อต่อจะหดสั้นลง ทำให้ข้อยึดติดอยู่ในท่างอหรือเหยียด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป (Contractures) สร้างความเจ็บปวดและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟู การป้องกันและแก้ไข: ทำกายภาพบำบัดด้วยการเคลื่อนไหวข้อต่อทุกส่วน (Passive/Active ROM exercises) อย่างสม่ำเสมอทุกวัน และจัดท่านอนให้ถูกต้องตามหลักสรีรวิทยา 4. ระบบไหลเวียนโลหิต: ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน …
การจัดการความเจ็บปวดในผู้ป่วยติดเตียงแบบไม่ใช้ยา ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

วิธีจัดการความเจ็บปวดผู้ป่วยติดเตียงแบบไม่ใช้ยา | บ้านแสนรัก

ความเจ็บปวดเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยติดเตียงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความปวดจากแผลกดทับ, อาการกล้ามเนื้อตึงเกร็งจากการไม่ได้เคลื่อนไหว, หรือความเจ็บปวดจากโรคประจำตัว แม้ว่าการใช้ยาแก้ปวดจะเป็นวิธีการรักษาหลัก แต่ก็มักมีผลข้างเคียงและข้อจำกัด การเรียนรู้เทคนิค การจัดการความเจ็บปวดแบบไม่ใช้ยา จึงเปรียบเสมือนเครื่องมืออันทรงพลังที่อยู่ในมือของผู้ดูแล สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษา ลดการพึ่งพายา และที่สำคัญที่สุด คือการมอบความสุขสบายและความผ่อนคลายให้แก่คนที่คุณรักด้วยการดูแลเอาใจใส่จากหัวใจ เข้าใจที่มาของความเจ็บปวดในผู้ป่วยติดเตียง ความเจ็บปวดของผู้ป่วยติดเตียงไม่ได้มีเพียงมิติทางกายเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับสภาวะจิตใจอย่างลึกซึ้ง ที่มาของความเจ็บปวดมักเกิดจาก: ความปวดทางกาย (Physical Pain): กล้ามเนื้อและข้อต่อ: การนอนในท่าเดิมนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่น เกิดอาการตึง ปวดเมื่อย หรือข้อต่อยึดติด ผิวหนัง: ความเจ็บปวดจากแผลกดทับ หรือการระคายเคืองของผิวหนัง ระบบประสาท: ความเจ็บปวดจากปลายประสาทอักเสบ ซึ่งพบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน ความปวดทางใจ (Psychological Pain): ความเครียด ความวิตกกังวล ความเบื่อหน่าย หรือความรู้สึกซึมเศร้า สามารถขยายการรับรู้ความเจ็บปวดทางกายให้รุนแรงยิ่งขึ้นได้ ทำไมการจัดการความเจ็บปวดแบบไม่ใช้ยาจึงสำคัญ? ลดผลข้างเคียงจากยา: ยาแก้ปวดหลายชนิดอาจทำให้ง่วงซึม, ท้องผูก, หรือส่งผลกระทบต่อตับและไตในระยะยาว เป็นการดูแลแบบองค์รวม: ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน เสริมสร้างความสัมพันธ์: การสัมผัสและการดูแลอย่างใกล้ชิดช่วยสร้างความผูกพันและความรู้สึกปลอดภัยให้ผู้ป่วย ทำได้ทุกเวลา: ผู้ดูแลสามารถนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้เพื่อบรรเทาอาการได้ทันทีที่ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกไม่สุขสบาย เทคนิคการจัดการความเจ็บปวดแบบไม่ใช้ยาที่ผู้ดูแลทำได้เอง เทคนิคเหล่านี้เน้นความเรียบง่าย ปลอดภัย และสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ กลุ่มเทคนิคทางกายภาพ (Physical Techniques) การจัดท่านอนและการพลิกตะแคงตัว: พื้นฐานที่สำคัญที่สุด การป้องกันและบรรเทาความเจ็บปวดที่ดีที่สุดคือการลดแรงกดทับและป้องกันการตึงตัวของกล้ามเนื้อ ควรพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุกๆ 2 ชั่วโมง พร้อมทั้งใช้หมอนหรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ มาหนุนรองในบริเวณที่เหมาะสม เช่น ระหว่างเข่า, หลัง, หรือใต้ข้อเท้า เพื่อจัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบายที่สุด การนวดสัมผัสอย่างอ่อนโยน (Gentle Touch and Massage) การนวดเบาๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต คลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด และทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารลดปวดตามธรรมชาติ วิธีทำ: ใช้น้ำมันนวดหรือโลชั่นที่ไม่มีกลิ่นฉุน ลูบไล้เบาๆ บริเวณแผ่นหลัง, บ่า, ไหล่, แขน, …
โภชนาการสำหรับผู้ป่วยติดเตียง เมนูอาหารที่เหมาะสม ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

โภชนาการและเมนูอาหารผู้ป่วยติดเตียง (อาหารอ่อน/อาหารปั่น) | บ้านแสนรัก

ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง นอกจากเรื่องความสะอาด การป้องกันแผลกดทับ หรือการกายภาพบำบัดแล้ว “โภชนาการ” คือรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดซึ่งมักถูกมองข้าม อาหารไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ประทังชีวิต แต่คือ “ยา” ที่ดีที่สุดจากธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภายใน การจัด เมนูอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยติดเตียง เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การคัดเลือกสารอาหารที่ครบถ้วนไปจนถึงการปรับลักษณะอาหารให้ปลอดภัยและง่ายต่อการกลืน การวางแผนโภชนาการที่ดีจะช่วยเสริมสร้างพลังงาน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ป้องกันภาวะกล้ามเนื้อลีบ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ความสำคัญของโภชนาการต่อผู้ป่วยติดเตียง ร่างกายของผู้ป่วยติดเตียงเปรียบเสมือนสมรภูมิที่ต้องการเสบียงชั้นดีเพื่อการฟื้นฟู: ซ่อมแซมร่างกายและรักษาแผล: โปรตีนและวิตามินบางชนิดมีความจำเป็นอย่างสูงในกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เพื่อรักษาแผลกดทับและฟื้นฟูร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: สารอาหารที่ครบถ้วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆ เช่น ปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ดีขึ้น ป้องกันภาวะกล้ามเนื้อลีบ: การได้รับโปรตีนและพลังงานที่เพียงพอจะช่วยชะลอการสลายของมวลกล้ามเนื้อที่เกิดจากการไม่ได้ใช้งาน ส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย: ใยอาหารและน้ำที่เพียงพอเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันภาวะท้องผูก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ป่วยติดเตียง สารอาหารหลักที่ขาดไม่ได้และแหล่งอาหารที่เหมาะสม การจัดเมนูแต่ละมื้อควรคำนึงถึงสารอาหาร 5 หมู่ แต่เน้นสัดส่วนที่เหมาะสม ดังนี้ 1. โปรตีน (Protein): ขุนพลแห่งการซ่อมแซม เป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุด ควรมีในทุกมื้อเพื่อซ่อมแซมร่างกายและรักษาแผล แหล่งอาหาร: เนื้อปลา (ย่อยง่าย), ไข่ขาว, เนื้อไก่ (ไม่ติดหนัง), เต้าหู้อ่อน, นมและผลิตภัณฑ์นม (หากไม่แพ้) 2. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate): แหล่งพลังงานหลัก เลือกใช้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเพื่อให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอและมีใยอาหาร แหล่งอาหาร: ข้าวกล้อง, ข้าวโอ๊ต, ฟักทอง, มันเทศ, ขนมปังโฮลวีต 3. ไขมันดี (Good Fats): ผู้ช่วยคนสำคัญ ช่วยในการดูดซึมวิตามินและให้พลังงานสูง แหล่งอาหาร: น้ำมันพืช (น้ำมันรำข้าว, น้ำมันถั่วเหลือง), ไขมันจากปลาทะเล, อะโวคาโด 4. วิตามินและแร่ธาตุ: ทัพเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เน้นผักและผลไม้หลากสีเพื่อให้ได้วิตามินครบถ้วน แหล่งอาหาร: ผักใบเขียว (ตำลึง, คะน้า), ผักสีส้มเหลือง (แครอท, ฟักทอง), …

5 สิ่งควรรู้ เมื่อมีผู้สูงอายุที่บ้านนอนติดเตียง

สารบัญ (Table of Content) การดูแลผู้ป่วยติดเตียง ความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยติดเตียง 5 วิธีดูแลผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุติดเตียงอย่างถูกต้อง หมั่นพลิกตัวและเปลี่ยนท่าให้กับผู้ป่วย ปรับให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งขณะทานอาหาร ดูแลความสะอาดของร่างกายและช่องปาก ให้ผู้ป่วยนอนในห้องที่สะอาด และมีอากาศถ่ายเท คอยตรวจเช็คสุขภาพจิตของผู้ป่วยอยู่เสมอ บทความที่เกี่ยวข้อง การดูแลผู้ป่วยติดเตียง การดูแลผู้ป่วยติดเตียง คือ การดูแลผู้ป่วยที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ตามที่ต้องการ และต้องนอนบนเตียงเป็นเวลานาน เนื่องจากสาเหตุหลายประการ โดยการดูแลจะเป็นการให้ความช่วยเหลือในกิจกรรมต่างๆ ของผู้ป่วย เช่น อาบน้ำ ป้อนอาหาร การป้องกันอันตรายจากสาเหตุต่างๆ รวมไปถึงการช่วยเหลือด้านอารมณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดความเครียด ความกังวล ส่งผลให้สุขภาพร่างกาย และสภาพจิตใจโดยรวมของผู้ป่วยเป็นไปในทิศทางที่ดี มีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยติดเตียง การดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นหนึ่งในการรักษาสุขภาพของผู้ป่วย ช่วยในการฟื้นฟูผู้ป่วยติดเตียง และยังช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เช่น แผลกดทับ กล้ามเนื้อลีบ การติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมไปถึงป้องกันการเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อร้ายแรง นอกจากนี้ช่วยให้ผู้ป่วยติดเตียงมีภาวะทางอารมณ์ที่ดี ทำให้ไม่มีภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวล ส่งผลให้ผู้ป่วยมีทัศนคติเชิงบวก และมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น 5 วิธีดูแลผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุติดเตียงอย่างถูกต้อง 1.หมั่นพลิกตัวและเปลี่ยนท่าให้กับผู้ป่วย การพลิกตัว และเปลี่ยนท่าให้กับผู้ป่วย จะช่วยป้องกันการเกิดแผลกดทับ และเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจ ผู้ป่วยจึงควรได้รับการเปลี่ยนท่านอนทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่การพลิกตัว หรือเปลี่ยนท่าให้กับผู้ป่วย จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง และใช้เทคนิคที่ถูกต้องเท่านั้น 2.ปรับให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งขณะทานอาหาร การปรับให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งขณะทานอาหาร สามารถทำได้ด้วยการปรับเตียง ประมาณ 45 องศา โดยให้ผู้ป่วยชิดไปกับผนังพิง เพื่อให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความมั่นคงในขณะทานอาหาร และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารอย่างสะดวก โดยไม่เกิดการสำลัก หรือเกิดอันตรายต่างๆ 3.ดูแลความสะอาดของร่างกายและช่องปาก ควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ผ้าเช็ดตัว และผ้านุ่มเพื่อไม่ทำลายผิวหนัง และควรทำความสะอาดช่องปากของผู้ป่วย โดยน้ำยาบ้วนปากแล้วแปรงสีฟัน โดยควรทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันได้ ให้ใช้ผ้านิ่มชุบน้ำยาบ้วนปากเช็ดฟันแทน 4.ให้ผู้ป่วยนอนในห้องที่สะอาด และมีอากาศถ่ายเท การจัดให้ผู้ป่วยพักในห้องพักที่มีความสะอาด …

7 ขั้นตอนการให้อาหารทางสายยาง

สารบัญ (Table of Content) ล้างมือ ก่อนและหลังให้อาหารทางสายยาง ทุกครั้ง ตรวจสอบตําแหน่งสายให้อาหาร ว่าอยู่ในตําแหน่งที่ถูกต้องทุกครั้งก่อนการให้อาหาร ทําความสะอาดช่องปากและดูดเสมหะก่อน การให้อาหารทุกครั้ง จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนศรีษะสูง 30 – 45 องศา หรือ เอนตัวพอประมาณ ดูดอาหารที่ค้างในกระเพาะอาหาร – ถ้ามีปริมาณมากกว่า 50 ซีซี ให้ดันกลับ ให้อาหารโดยปล่อยให้อาหารหยดลงสู่กระเพาะ อาหารช้าๆ ตามแรงโน้มถ่วง จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมต่อ อีกอย่างน้อย 1ชั่วโมง หลังจากให้อาหาร บทความที่เกี่ยวข้อง ผู้สูงวัยบางท่านที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีปัญหาเรื่องการนอนติดเตียงมักจะมีปัญหาขาดสารอาหารจน ร่างกายซูบผอมลง จนเกิดมีปุ่มกระดูกชัด รวมถึงอาจจะมีปัญหาด้านผิวหนังที่แห้ง หย่อนยาน ขาดความชุ่มชื้นและมีภาวะโรคร่วมอย่างอื่นที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดแผลกดทับ หรือ แผลที่เกิดจากการเสียดสีได้ เช่น ภาวะเบาหวานที่เป็นภัยร้าย แผลอักเสบติดเชื้อง่าย ภาวะเส้นเลือดที่ปลายแขนขาที่ไม่ดี รวมถึงปัจจัยความชื้นของอากาศและวัสดุ ที่ไม่เหมาะสม พื้นผิวแข็งมีเสี่ยงต่อการเสียดสีมาก ก็จะเป็นปัญหาได้เช่นกัน วันนี้เรามี 5 วิธีป้องกันการเกิดแผลกดทับมาฝากกันครับ 1. ล้างมือ ก่อนและหลังให้อาหารทางสายยาง ทุกครั้ง การเปลี่ยนและการจัดท่าของผู้ป่วย โดยยึดเอาตามความสามารถในการขยับ และการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเป็นหลัก หากผู้ป่วยนอนติดเตียงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยควรเปลี่ยนท่านอนใหม่ทุก ๆ 2 ชั่วโมง อาจจะเป็นถ้านอนหงายแล้วนอนตะแคงโดยอาจใช้หมอนข้างนิ่ม ๆ มากั้น รวมถึงใช้หมอนนิ่ม ๆ ใบเล็กแทรกอยู่ตามระหว่างปุ่มกระดูกที่อาจกดทับกันจนเป็นแผลได้ หากผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่สามารถนั่งบนรถเข็นควรจะเปลี่ยนท่านั่งใหม่ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ระหว่างอาบน้ำเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าอ้อม ควรหมั่นสังเกตสีผิวที่เปลี่ยนแปลง หากเริ่มแดง คล้ำ ควรหมั่นพลิกตัวเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ 2. ตรวจสอบตําแหน่งสายให้อาหาร ว่าอยู่ในตําแหน่งที่ถูกต้องทุกครั้งก่อนการให้อาหาร ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือตัวเองได้น้อย มีภาวะโรคประจำตัว ขาดสารอาหาร รวมถึงมีปุ่มกระดูกขนาดใหญ่ที่ตำแหน่งกดทับ สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดทับเสริมได้ เช่น หมอนนุ่มๆ ที่จะช่วยลดแรงกดทับได้ …
การดูแลผิวหนังผู้ป่วยติดเตียง ป้องกันการติดเชื้อและแผลเปื่อย ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การดูแลผิวหนังผู้ป่วยติดเตียง: ป้องกันผิวแห้ง การติดเชื้อ แผลเปื่อย | บ้านแสนรัก

ผิวหนังคืออวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายและเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรค แต่สำหรับผู้ป่วยติดเตียง ปราการด่านนี้กลับมีความเปราะบางและต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษมากกว่าคนทั่วไป การดูแลผิวหนังผู้ป่วยติดเตียง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาด แต่เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ตั้งแต่ภาวะผิวแห้งแตกรุนแรง ไปจนถึง การติดเชื้อ และ แผลเปื่อย จากความอับชื้น การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลผิว จะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันให้แข็งแรง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบาย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง ทำไมผิวหนังของผู้ป่วยติดเตียงจึงเปราะบางเป็นพิเศษ? สภาพร่างกายของผู้ป่วยติดเตียงทำให้ผิวหนังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านพร้อมๆ กัน: การไหลเวียนเลือดลดลง: การที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงผิวหนังได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกกดทับ ทำให้ผิวหนังอ่อนแอและซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง ความเปียกชื้นและการระคายเคือง: ปัญหาใหญ่ที่สุดคือการสัมผัสกับปัสสาวะและอุจจาระเป็นเวลานานในผู้ป่วยที่มีภาวะควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ (Incontinence) สารประกอบในสิ่งขับถ่ายและความชื้นจะทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ย (Maceration) และเกิดการอักเสบได้ง่าย ภาวะขาดสารอาหารและน้ำ: การได้รับโปรตีน วิตามิน และน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น แห้งกร้าน และสูญเสียความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง การเปลี่ยนแปลงตามวัย: ในผู้ป่วยสูงอายุ ผิวหนังจะบางลงตามธรรมชาติ ต่อมไขมันทำงานลดลง ทำให้ผิวแห้งและเกิดรอยถลอกหรือบาดแผลได้ง่าย ปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยและต้องเฝ้าระวัง ความเปราะบางเหล่านี้ นำไปสู่ปัญหาผิวหนังที่พบบ่อย ดังนี้ 1. ภาวะผิวแห้ง แตก และคัน (Xerosis) เป็นปัญหาพื้นฐานที่พบได้มากที่สุด ผิวที่แห้งกร้านจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกคันและไม่สบายตัว เมื่อเกาจะทำให้เกิดรอยถลอกหรือแผลเปิดเล็กๆ ซึ่งรอยแตกเหล่านี้เปรียบเสมือนประตูที่เปิดให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังและก่อให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้นได้ 2. ผื่นและการอักเสบจากความเปียกชื้น (Moisture-Associated Skin Damage – MASD) หรือที่หลายคนเรียกว่า “ผื่นผ้าอ้อมในผู้ใหญ่” หรือ “แผลเปื่อย” เกิดจากการที่ผิวหนังสัมผัสความชื้นจากเหงื่อ ปัสสาวะ หรืออุจจาระเป็นเวลานาน ทำให้ผิวหนังอักเสบ แดง และอาจเปื่อยจนเป็นแผลเปิดตื้นๆ สร้างความเจ็บปวดแสบร้อนให้ผู้ป่วยอย่างมาก มักพบบริเวณขาหนีบ ก้น อวัยวะเพศ และใต้ชั้นพับของผิวหนัง 3. การติดเชื้อรา (Fungal Infections) ความร้อนและความอับชื้นในบริเวณซอกหลืบต่างๆ เช่น ขาหนีบ ใต้ราวนม หรือซอกนิ้ว เป็นสภาวะแวดล้อมที่เชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อแคนดิดา (Candida) …