ติดเตียงทำกายภาพได้ไหม? วิธีทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียงอย่างถูกวิธีและปลอดภัย

ติดเตียงทำกายภาพได้ไหม? วิธีทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียงอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก

ติดเตียงทำกายภาพได้ไหม ทำอย่างไร? ไปดูกัน: คู่มือการทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียงอย่างถูกวิธีและปลอดภัย

สำหรับผู้ที่มีญาติผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญกับภาวะ ผู้ป่วยติดเตียง (Bedridden Patient) คำถามที่เกิดขึ้นในใจเสมอคือ “ผู้ป่วยที่นอนนิ่งๆ จะทำกายภาพบำบัดได้หรือไม่?” คำตอบคือ ได้และต้องทำอย่างยิ่ง! การหยุดนิ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยติดเตียง การขาดการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่คุกคามชีวิตได้ การ ทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียง จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น หัวใจสำคัญ ของการดูแลและการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อรักษาคุณภาพชีวิต ป้องกันภาวะข้อติด และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้กลับมาเคลื่อนไหวได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทำไมกายภาพบำบัดจึงสำคัญต่อผู้ป่วยติดเตียง?

หลายคนเข้าใจผิดว่าการทำกายภาพบำบัดมีไว้สำหรับผู้ที่เดินได้หรือกำลังจะฟื้นตัวเท่านั้น แต่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องอยู่บนเตียง การบำบัดมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นมาก คือการ ป้องกันความเสื่อมถอย และ ภาวะแทรกซ้อน

ภัยเงียบจากการไม่เคลื่อนไหว: ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง

หากผู้ป่วยติดเตียงไม่ได้รับการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการเสื่อมอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่ภัยเงียบเหล่านี้:

  1. ข้อต่อติดแข็งและกล้ามเนื้อฝ่อลีบ (Joint Contracture & Muscle Atrophy): การที่ข้อต่อไม่ถูกยืดเหยียดเป็นเวลานาน จะทำให้เอ็นและเนื้อเยื่อรอบข้อสั้นลง จนเกิดภาวะข้อติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถขยับแขนขาได้ตามปกติ แม้จะฟื้นตัวจากโรคหลักแล้วก็ตาม และกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้จะอ่อนแรงและลีบลงอย่างรวดเร็ว
  2. แผลกดทับ (Pressure Sore): การนอนในท่าเดิมนานเกิน 2 ชั่วโมง ทำให้ผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูก (เช่น ก้นกบ ส้นเท้า สะโพก) ถูกกดทับจนเลือดไหลเวียนไม่สะดวก เนื้อเยื่อตาย และกลายเป็นแผลลึก หากติดเชื้ออาจอันตรายถึงชีวิต
  3. ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ: การนอนราบเป็นเวลานานทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ เสมหะตกค้าง นำไปสู่ภาวะ ปอดแฟบ และ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้ป่วยติดเตียง
  4. การไหลเวียนโลหิตและลิ่มเลือดอุดตัน: การเคลื่อนไหวน้อยทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT) ซึ่งหากลิ่มเลือดหลุดไปอุดที่ปอดหรือสมองจะเป็นอันตรายร้ายแรง

ประโยชน์ของการกายภาพบำบัด: กู้ชีวิตและรักษาศักยภาพ

การทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอจะช่วย:

  • รักษาระดับความยืดหยุ่นของข้อต่อ: ช่วยรักษา ช่วงการเคลื่อนไหว (Range of Motion: ROM) ให้เป็นปกติ ป้องกันข้อติด
  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต: ลดความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตัน และช่วยลดโอกาสเกิดแผลกดทับ
  • เสริมสร้างกำลังใจ: การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว เป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสและให้ความรู้สึกว่าตนเองยังมีการตอบสนองอยู่ ช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยว
  • เพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว: หากผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวจากโรค การมีข้อต่อที่ยืดหยุ่นและกล้ามเนื้อที่ไม่ลีบจนเกินไปจะช่วยให้ขั้นตอนการฟื้นฟูเพื่อกลับไปเดินทำได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น

ติดเตียงทำกายภาพได้ไหม ทำอย่างไร: เทคนิคการบำบัด 3 รูปแบบ

การทำกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยติดเตียงต้องเป็นไปตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด โดยแบ่งตามความสามารถของผู้ป่วยได้เป็น 3 รูปแบบหลัก:

1. Passive Range of Motion (PROM): ผู้ดูแลช่วยขยับ

เป็นการทำกายภาพบำบัดที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวเองได้เลย (กล้ามเนื้อไม่มีแรงหรือเป็นอัมพาต) ผู้ดูแลหรือนักกายภาพบำบัดจะเป็นผู้ ขยับข้อต่อ ให้ผู้ป่วยอย่างช้าๆ และนุ่มนวล โดยเน้นที่ข้อต่อหลักทุกข้อของร่างกาย (ไหล่ ศอก ข้อมือ ข้อนิ้ว สะโพก เข่า ข้อเท้า)

  • วิธีการทำ:
    • การบริหารข้อไหล่: จับที่ข้อศอกและข้อมือของผู้ป่วย ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะและวาดออกด้านข้างอย่างช้าๆ
    • การบริหารข้อเข่าและสะโพก: งอเข่าเข้าหาลำตัว แล้วเหยียดออกตรงๆ จากนั้นค่อยๆ กางขาออกด้านข้าง
    • การบริหารข้อเท้า: จับปลายเท้า กระดกข้อเท้าขึ้น-ลง และหมุนข้อเท้าเป็นวงกลม
  • ความถี่: ควรทำอย่างน้อย วันละ 2-3 ครั้ง และทำซ้ำแต่ละท่าประมาณ 10-20 ครั้งต่อข้อต่อ

2. Active Assisted Range of Motion (AAROM): ผู้ป่วยออกแรงร่วม

เป็นการทำสำหรับผู้ป่วยที่ พอมีแรงกล้ามเนื้อบ้าง แต่ยังไม่พอที่จะขยับต้านแรงโน้มถ่วงได้ ผู้ดูแลจะ ช่วยประคอง และออกแรงช่วยบางส่วนเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้จนสุดช่วงการเคลื่อนไหว วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อได้ดีกว่าแบบ Passive

  • ตัวอย่าง: ผู้ดูแลประคองแขน ผู้ป่วยออกแรงยกแขนขึ้นเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • ประโยชน์: เริ่มสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู

3. Active Exercise (AROM) และการฝึกนั่ง/ยืน: เตรียมพร้อมสู่การพึ่งพาตนเอง

ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ มีกำลังกล้ามเนื้อมากพอ ที่จะเคลื่อนไหวแขนขาได้เองอย่างอิสระบนเตียง โดยผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ และฝึกการทรงตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุกขึ้นนั่งและยืน:

  • ฝึกความแข็งแรงบนเตียง: ผู้ป่วยออกแรงต้านยางยืด หรือยกน้ำหนักเบาๆ
  • ฝึกการทรงตัวขณะนั่ง: ให้ผู้ป่วยนั่งห้อยขาอยู่ข้างเตียง (Edge of Bed Sitting) โดยมีผู้ดูแลคอยระวังการล้ม และฝึกเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อหยิบสิ่งของ
  • ฝึกยืน (ถ้าสามารถทำได้): ใช้เครื่องช่วยพยุงยืน (Tilt Table) หรือราวจับเพื่อฝึกยืนและลงน้ำหนักที่ขา เพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูกและเตรียมพร้อมสำหรับการเดิน

ข้อควรระวังและความปลอดภัยในการทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียง

การทำกายภาพบำบัดที่บ้านต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ:

สังเกตอาการและทำอย่างนุ่มนวล

  • ไม่ฝืนทำ: หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวด หรือเกร็งตัว ควรหยุดการทำกายภาพบำบัดทันที ไม่ควรออกแรงมากเกินไปจนทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ข้อต่อ
  • การจัดท่าทาง: ก่อนเริ่มทำ ต้องจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าทางที่สบายที่สุด และถูกต้องตามหลักสรีระ เพื่อให้การขยับข้อต่อเป็นไปตามธรรมชาติ
  • ความสม่ำเสมอ: การทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ ทุกวัน สำคัญกว่าการทำเพียงครั้งละนานๆ แต่ไม่ต่อเนื่อง

การดูแลที่ควบคู่ไปกับการกายภาพ

นอกจากการขยับข้อต่อแล้ว การดูแลอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน:

  • การพลิกตะแคงตัว: ต้อง พลิกตัวผู้ป่วยทุกๆ 2 ชั่วโมง ร่วมกับการใช้ที่นอนลม หรือเบาะรองรับเพื่อลดแรงกดทับ ป้องกันการเกิดแผลกดทับ
  • การบริหารปอด: ฝึกให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึกๆ และไออย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ปอดขยายตัวได้เต็มที่ ลดความเสี่ยงของปอดอักเสบ
  • โภชนาการที่เหมาะสม: อาหารที่มีโปรตีนและแคลอรี่เพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยในการฟื้นตัวจากแผลกดทับ

บทบาทของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ในการฟื้นฟูผู้ป่วยติดเตียง

สำหรับครอบครัวที่ขาดทักษะ อุปกรณ์ หรือเวลา การดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้านอาจไม่สามารถให้ผลลัพธ์ในการฟื้นฟูที่ดีที่สุดได้ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ที่ได้มาตรฐานจึงเป็นทางออกที่สำคัญ

ข้อได้เปรียบของการดูแลแบบมืออาชีพ

ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ มีข้อได้เปรียบที่สำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยติดเตียง:

  • ทีมสหสาขาวิชาชีพ: มี นักกายภาพบำบัดวิชาชีพ ที่สามารถประเมินและออกแบบโปรแกรมกายภาพที่เหมาะสมกับอาการของแต่ละบุคคล ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (Passive) จนถึงระยะฟื้นฟู (Active)
  • ความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง: ผู้ป่วยได้รับการดูแลและทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอในเวลาที่เหมาะสม โดยมีผู้ช่วยดูแลที่มีทักษะและผ่านการอบรมคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
  • อุปกรณ์เฉพาะทาง: มี เตียงผู้ป่วยปรับระดับ ที่นอนลม อุปกรณ์ช่วยยกตัว และ เครื่องมือทางกายภาพบำบัด ที่ครบครัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
บรรยากาศภายนอก ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก เนอร์ซิ่งโฮม เชียงใหม่

ที่ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก เราเชื่อมั่นว่าการ “ติดเตียง” ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู เราคือ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยในระยะฟื้นฟูอย่างแท้จริง ทีมงานของเราประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ และ นักกายภาพบำบัด ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบ แผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล ที่เรียกว่า “Active Recovery Program” ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การ พลิกตัวป้องกันแผลกดทับ ทุก 2 ชั่วโมง การทำ Passive Exercise อย่างนุ่มนวลเพื่อป้องกันข้อติด ไปจนถึงการฝึก การหายใจ และ การทรงตัว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุกขึ้นนั่งและยืน 

ด้วยการดูแลที่ใส่ใจทุกรายละเอียดด้านสุขอนามัย โภชนาการทางการแพทย์ที่เหมาะสม และการกระตุ้นด้านจิตใจอย่างสม่ำเสมอ เรามุ่งมั่นที่จะไม่เพียงแค่ “รักษาผู้ป่วยบนเตียง” แต่คือการ “ดึงผู้ป่วยออกจากเตียง” ให้กลับมามีอิสระในการใช้ชีวิตมากที่สุด การเลือก บ้านแสนรัก คือการมอบความหวังครั้งใหม่ให้กับคนที่คุณรัก เพื่อให้เขาได้กลับมายิ้ม หัวเราะ และขยับร่างกายได้อย่างมีคุณภาพในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและอบอุ่นดุจบ้านของตนเองอย่างแท้จริง

"ให้บ้านแสนรัก ดูแลคนที่คุณห่วงใย ด้วยหัวใจที่อบอุ่น"

Share