Blogs

เตียงผู้ป่วย วิธีเลือกและปรับใช้ให้เหมาะสม ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

วิธีเลือกเตียงผู้ป่วย (ไฟฟ้า/มือหมุน) และการปรับใช้ที่ถูกต้อง | บ้านแสนรัก

สำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนที่นอน “เตียง” ไม่ใช่เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่ง แต่คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ชิ้นสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการดูแลรักษาพยาบาล การเลือกเตียงผู้ป่วย ที่เหมาะสมและการเรียนรู้วิธี ปรับใช้งานอย่างถูกวิธี จึงเป็นหนึ่งในการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดที่ครอบครัวและผู้ดูแลจะมอบให้กับคนที่คุณรักได้ เตียงที่ดีย่อมช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น แผลกดทับ, การสำลัก, หรือการพลัดตกจากเตียง ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระทางกายของผู้ดูแลได้อย่างมหาศาล ความสำคัญของเตียงผู้ป่วยที่เหมาะสม เตียงผู้ป่วยที่ออกแบบมาโดยเฉพาะนั้นแตกต่างจากเตียงนอนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อ: ส่งเสริมความสบายและลดความเจ็บปวด: สามารถปรับท่าทางต่างๆ เพื่อลดแรงกดทับเฉพาะจุดและจัดท่าให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายที่สุด เพิ่มความปลอดภัย: มีราวกั้นเตียงเพื่อป้องกันการพลัดตก และระบบล็อกล้อที่มั่นคง อำนวยความสะดวกในการดูแล: สามารถปรับระดับความสูงของเตียงให้เหมาะสมกับความสูงของผู้ดูแล ช่วยลดอาการปวดหลังจากการก้มดูแลผู้ป่วยเป็นเวลานาน ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: การปรับหัวเตียงสูงช่วยลดความเสี่ยงของภาวะปอดอักเสบจากการสำลาก และการใช้ที่นอนที่เหมาะสมจะช่วยกระจายแรงกดทับเพื่อป้องกันแผลกดทับได้ ประเภทของเตียงผู้ป่วย: เลือกแบบไหนดี? เตียงผู้ป่วยในท้องตลาดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ซึ่งมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป 1. เตียงผู้ป่วยแบบมือหมุน (Manual Bed) เป็นเตียงที่ต้องใช้แรงคนในการหมุนคันโยก (ไกร์) บริเวณท้ายเตียงเพื่อปรับระดับต่างๆ เป็นตัวเลือกที่ประหยัดและไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ต้องอาศัยกำลังของผู้ดูแลในการปรับแต่ละครั้ง เตียง 2 ไกร์: สามารถปรับพนักพิงหลัง (ยกศีรษะสูง) และปรับส่วนขา (งอเข่า) ได้ เตียง 3 ไกร์: เพิ่มฟังก์ชันการปรับระดับความสูง-ต่ำของเตียงได้ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับผู้ดูแล เตียง 5 ไกร์: เป็นแบบพิเศษที่เพิ่มฟังก์ชันการปรับท่าตะแคงศีรษะสูง-เท้าต่ำ หรือศีรษะต่ำ-เท้าสูงได้ (Trendelenburg/Reverse Trendelenburg) เหมาะสำหรับ: ผู้ป่วยที่ไม่ได้ต้องการการปรับเปลี่ยนท่าทางบ่อยนัก และมีผู้ดูแลที่มีกำลังกายแข็งแรง 2. เตียงผู้ป่วยไฟฟ้า (Electric Bed) เป็นเตียงที่ใช้ระบบไฟฟ้าในการปรับระดับต่างๆ ผ่านรีโมตคอนโทรล สร้างความสะดวกสบายสูงสุดทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ดูแล ผู้ป่วยบางรายที่มีกำลังแขนสามารถเรียนรู้ที่จะปรับท่าทางด้วยตนเองได้ ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกพึ่งพาตนเองได้ เหมาะสำหรับ: ผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือในสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็วในการปรับท่าทาง และเพื่อแบ่งเบาภาระผู้ดูแลอย่างเต็มที่ เช็กลิสต์ 5 ปัจจัยสำคัญในการเลือกเตียงผู้ป่วย ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาองค์ประกอบเหล่านี้อย่างรอบคอบ 1. ฟังก์ชันการปรับระดับที่จำเป็น …
ปัญหาระบบขับถ่ายในผู้ป่วยติดเตียงและการจัดการ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

ปัญหาขับถ่ายในผู้ป่วยติดเตียง: วิธีจัดการท้องผูก ท้องเสีย | บ้านแสนรั

นอกเหนือจากความท้าทายในการป้องกันแผลกดทับและภาวะปอดอักเสบแล้ว ปัญหาระบบขับถ่าย ถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของลำไส้ ทำให้เกิดภาวะที่พบบ่อยอย่าง “ท้องผูก” และ “ท้องเสีย” ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความอึดอัด ไม่สุขสบายทางกายให้แก่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและเรียนรู้วิธีการดูแลที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ดูแลต้องให้ความสำคัญ เพื่อคืนความสุขสบายและรักษาศักดิ์ศรีให้กับคนที่คุณรัก ทำไมผู้ป่วยติดเตียงจึงมักมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย? การที่ร่างกายต้องอยู่ในภาวะพึ่งพิงและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารและการขับถ่ายในหลายมิติ ดังนี้: การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง: การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและเคลื่อนกากอาหารไปข้างหน้า เมื่อผู้ป่วยต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน การทำงานของลำไส้จึงช้าลงโดยธรรมชาติ ทำให้กากอาหารค้างอยู่ในลำไส้นานขึ้นและถูกดูดน้ำกลับจนแห้งแข็ง การเปลี่ยนแปลงด้านอาหารและน้ำ: ผู้ป่วยติดเตียงมักมีภาวะเบื่ออาหาร ทานได้น้อยลง หรือมีปัญหาการกลืน ทำให้ได้รับใยอาหาร (Fiber) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างมวลอุจจาระไม่เพียงพอ รวมถึงการดื่มน้ำน้อยเกินไปก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายลำบาก ผลข้างเคียงจากยา: ยาบางชนิดที่ผู้ป่วยได้รับเป็นประจำ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์, ยาลดความดันบางชนิด, หรือยาธาตุเหล็ก อาจมีผลข้างเคียงทำให้ลำไส้ทำงานช้าลงและเกิดอาการท้องผูกได้ การเบ่งถ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ: การขับถ่ายในท่านอนนั้นฝืนธรรมชาติ ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกรานที่ใช้ในการเบ่งทำงานได้ไม่เต็มที่ ปัญหาการขับถ่ายที่พบบ่อยและการจัดการที่ถูกต้อง ภาวะท้องผูก (Constipation): ปัญหาอันดับหนึ่งที่ต้องรับมือ ท้องผูกคือภาวะที่ผู้ป่วยไม่ถ่ายอุจจาระนานกว่า 3 วัน หรือถ่ายอุจจาระน้อยครั้งกว่าปกติของตนเอง ลักษณะอุจจาระจะแห้ง แข็ง เป็นก้อนเล็กๆ ทำให้ขับถ่ายลำบากและอาจรู้สึกเจ็บปวด แนวทางการจัดการและป้องกัน: ปรับเปลี่ยนอาหาร: เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักต่างๆ (ตำลึง, กวางตุ้ง), ผลไม้ (มะละกอสุก, กล้วย, ส้ม), และธัญพืชขัดสีน้อย โดยควรเริ่มให้ทีละน้อยเพื่อป้องกันภาวะท้องอืด และควรเป็นอาหารที่อ่อนนุ่ม ปรุงสุก เพื่อให้ง่ายต่อการเคี้ยวและกลืน ดูแลเรื่องการดื่มน้ำ: กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน (ประมาณ 1.5-2 ลิตร หากไม่มีข้อจำกัดจากแพทย์) เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้นและขับถ่ายง่าย กระตุ้นการเคลื่อนไหว: ทำกายภาพบำบัดด้วยการออกกำลังกายแบบ Passive Exercise เพื่อขยับข้อต่อแขนขา และที่สำคัญคือ การนวดท้อง โดยนวดวนตามเข็มนาฬิกาบริเวณรอบสะดืออย่างช้าๆ และนุ่มนวล เป็นเวลา 5-10 นาที จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ได้ดี …
การออกกำลังกายเพื่อกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยติดเตียง ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การออกกำลังกายเพื่อกายภาพบำบัดผู้ป่วยติดเตียง | ฟื้นฟูข้อต่อและกล้ามเนื้อ

เมื่อพูดถึง “ผู้ป่วยติดเตียง” หลายคนมักนึกถึงภาพของผู้ที่นอนนิ่ง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ร่างกายจะถูกจำกัดอยู่บนเตียง การออกกำลังกายเพื่อกายภาพบำบัด กลับเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งยวดในการรักษาสภาพร่างกาย ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และส่งเสริมการฟื้นฟูให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การปล่อยให้ผู้ป่วยนอนนิ่งโดยไม่มีการเคลื่อนไหวเปรียบเสมือนการปล่อยให้ร่างกายค่อยๆ เสื่อมถอยลง นำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายตั้งแต่ภาวะข้อติด กล้ามเนื้อลีบ ไปจนถึงปัญหาการไหลเวียนเลือดและระบบทางเดินหายใจ บทความนี้จึงเป็นคู่มือสำหรับผู้ดูแล เพื่อทำความเข้าใจถึงความสำคัญและวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับบุคคลอันเป็นที่รัก ทำไมการออกกำลังกายจึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยติดเตียง? การขาดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานานส่งผลเสียต่อทุกระบบของร่างกาย การทำกายภาพบำบัดและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการ: ป้องกันภาวะข้อยึดติด (Joint Contracture): เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด เมื่อข้อต่อไม่ได้ถูกเคลื่อนไหว พังผืดรอบข้อจะค่อยๆ หดสั้นและหนาตัวขึ้น ทำให้ข้อต่อนั้นๆ ยึดติดอยู่ในท่างอหรือเหยียด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เต็มช่วงการเคลื่อนไหวอีกต่อไป สร้างความเจ็บปวดและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูในอนาคต ชะลอการลีบของกล้ามเนื้อ (Muscle Atrophy): กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานจะสูญเสียความแข็งแรงและขนาดลงอย่างรวดเร็ว การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานและรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ได้ ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต: ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เพิ่มการทำงานของปอดและระบบทางเดินหายใจ: การบริหารการหายใจช่วยให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ ลดความเสี่ยงของภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อ กระตุ้นการทำงานของลำไส้: ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดปัญหาท้องผูก สร้างเสริมสุขภาพจิต: การได้เคลื่อนไหวร่างกายช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่น ลดความเครียด และรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในการดูแลตนเอง ประเภทของการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยติดเตียง การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยติดเตียงจะเน้นไปที่การเคลื่อนไหวที่ไม่หักโหม โดยแบ่งเป็นประเภทหลักๆ ตามระดับความสามารถของผู้ป่วย 1. การออกกำลังกายโดยผู้ดูแล (Passive Range of Motion – PROM) เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายหรือออกแรงได้ด้วยตนเอง โดยผู้ดูแลจะเป็นผู้ออกแรงเคลื่อนไหวข้อต่อต่างๆ ของผู้ป่วยให้ครบทุกส่วนอย่างช้าๆ และนุ่มนวล โดยมีหลักการสำคัญคือ “ทำให้สุดช่วงการเคลื่อนไหว แต่ไม่ฝืนจนผู้ป่วยเจ็บ” ขั้นตอนการทำ Passive Exercise: ควรทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) โดยทำซ้ำในแต่ละท่าประมาณ 10-15 ครั้ง ข้อต่อแขนและมือ: หัวไหล่: ยกแขนขึ้น-ลง, กางแขนออก-หุบเข้า, หมุนแขนเข้า-ออก ข้อศอก: งอและเหยียดข้อศอก ข้อมือ: …
แผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง สาเหตุ อาการ และการรักษา ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

แผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง: สาเหตุ อาการ การรักษาและป้องกัน | บ้านแสนรัก

หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่สร้างความเจ็บปวดและเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง คือ “แผลกดทับ” (Pressure Ulcer หรือ Bed Sore) ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงบาดแผลธรรมดาบนผิวหนัง แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงการตายของเนื้อเยื่อจากการขาดเลือดไปเลี้ยง และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาจลุกลามลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก นำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง แผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง ตั้งแต่สาเหตุเริ่มต้น อาการในแต่ละระยะ ไปจนถึงแนวทางการรักษาและป้องกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่ผู้ดูแลทุกคนต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องบุคคลอันเป็นที่รักให้ห่างไกลจากความทุกข์ทรมานนี้ เจาะลึกสาเหตุหลักของการเกิดแผลกดทับ แผลกดทับไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ แต่มีปัจจัยหลักที่ส่งเสริมให้เกิดการบาดเจ็บต่อผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นลึกอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจต้นตอของปัญหาจะช่วยให้เราสามารถป้องกันได้อย่างตรงจุด แรงกดทับ (Pressure) นี่คือสาเหตุที่สำคัญที่สุดและเป็นที่มาของชื่อ “แผลกดทับ” เมื่อร่างกายของผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหรือท่านั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน น้ำหนักตัวจะกดลงบนผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆ เช่น ส้นเท้า, ตาตุ่ม, ข้อศอก, สะโพก, กระดูกก้นกบ และท้ายทอย แรงกดนี้จะบีบเส้นเลือดฝอย ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้ตามปกติ เมื่อเซลล์ขาดออกซิเจนและสารอาหารเป็นเวลานาน ก็จะเริ่มเกิดการบาดเจ็บและตายในที่สุด แรงเสียดสี (Friction) และแรงเฉือน (Shear) แรงเสียดสี เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังของผู้ป่วยถูกับพื้นผิวของเตียงหรือเสื้อผ้า เช่น การลากหรือดึงตัวผู้ป่วยเพื่อขยับตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้ผิวหนังชั้นนอกถลอกและอ่อนแอลง ส่วน แรงเฉือน เป็นภาวะที่อันตรายกว่า เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน (เช่น การปรับหัวเตียงสูง) ทำให้ร่างกายไถลลง ในขณะที่ผิวหนังบริเวณหลังและก้นยังคงยึดติดอยู่กับผ้าปูที่นอน แรงที่กระทำสวนทางกันนี้จะดึงรั้งและทำลายเนื้อเยื่อและหลอดเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับในชั้นลึกได้ง่ายขึ้น ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง นอกเหนือจากแรงกดโดยตรง ยังมีปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงมีความเสี่ยงสูงขึ้น ได้แก่: ภาวะขาดสารอาหาร: การได้รับโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุไม่เพียงพอ ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่นและซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง ความเปียกชื้น: ผิวหนังที่สัมผัสกับปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเวลานาน จะเปื่อยยุ่ยและอ่อนแอลง ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย อายุที่มากขึ้น: ผู้สูงอายุมีผิวหนังที่บอบบางและชั้นไขมันใต้ผิวหนังลดลง ทำให้ความสามารถในการทนต่อแรงกดต่ำลง โรคประจำตัว: โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด หรือภาวะที่การไหลเวียนเลือดไม่ดี จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น สัญญาณเตือนและอาการของแผลกดทับใน 4 ระยะ การประเมินความรุนแรงของแผลกดทับได้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 …
การดูแลสุขอนามัยผู้ป่วยติดเตียง การอาบน้ำและทำความสะอาด ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การดูแลสุขอนามัยผู้ป่วยติดเตียง: วิธีอาบน้ำและทำความสะอาด | บ้านแสนรัก

การรักษาความสะอาดร่างกายเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพดี แต่สำหรับ “ผู้ป่วยติดเตียง” แล้ว กิจวัตรประจำวันเช่นการอาบน้ำกลายเป็นเรื่องท้าทายที่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้ดูแลอย่างเต็มรูปแบบ การดูแลสุขอนามัยผู้ป่วยติดเตียงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอาบน้ำและทำความสะอาด ไม่ใช่เป็นเพียงการชำระล้างสิ่งสกปรก แต่คือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่น สบายตัว ลดความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ ป้องกันการติดเชื้อทางผิวหนัง และยังเป็นการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับผู้ป่วยอีกด้วย บทความนี้จะเปรียบเสมือนคู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ดูแล เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่สำคัญนี้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความใส่ใจ การที่ผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง ทำให้เหงื่อไคล สิ่งขับถ่าย และความอับชื้นสามารถสะสมบนผิวหนังได้ง่าย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคและปัญหาผิวหนังมากมาย การดูแลความสะอาดอย่างถูกวิธีจึงเป็นเกราะป้องกันด่านแรกที่จะช่วยให้คนที่คุณรักห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ ความสำคัญของการอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายผู้ป่วยติดเตียง การดูแลความสะอาดให้ผู้ป่วยติดเตียงเป็นประจำส่งผลดีหลายมิติ ทั้งต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ดังนี้ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต: การใช้น้ำอุ่นและการนวดสัมผัสผิวหนังเบาๆ ขณะทำความสะอาด จะช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัวและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ป้องกันปัญหาผิวหนังและการติดเชื้อ: การขจัดคราบเหงื่อไคล เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่บนผิวหนัง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผดผื่นคัน การอักเสบ และที่สำคัญคือช่วยป้องกันการเกิดแผลกดทับในบริเวณที่ต้องรับน้ำหนักเป็นเวลานาน สร้างความสดชื่นและสุขสบาย: ความสะอาดช่วยลดความเหนียวเหนอะหนะ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่น สบายตัว ลดความหงุดหงิด และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น เสริมสร้างสุขภาพจิตและกำลังใจ: การได้รับการดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่า ไม่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งเป็นกำลังใจสำคัญในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย โอกาสในการสำรวจความผิดปกติ: ขณะทำความสะอาดร่างกาย คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ผู้ดูแลจะได้สังเกตและสำรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วยอย่างละเอียด ว่ามีรอยแดง รอยช้ำ ตุ่มน้ำ หรือสัญญาณเริ่มต้นของแผลกดทับในตำแหน่งใดหรือไม่ เพื่อที่จะได้ป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที การเตรียมตัวและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียง การเตรียมพร้อมที่ดีคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ขั้นตอนการอาบน้ำผู้ป่วยเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ก่อนเริ่มต้นควรเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้พร้อมและวางไว้ในตำแหน่งที่หยิบใช้ง่าย อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม น้ำอุ่น 2 อ่าง/กะละมัง: อ่างหนึ่งสำหรับผสมสบู่ (น้ำฟอกสบู่) และอีกอ่างสำหรับน้ำสะอาดเพื่อล้างตัว (น้ำล้าง) อุณหภูมิของน้ำควรอยู่ที่ประมาณ 37-43 องศาเซลเซียส หรือทดสอบด้วยหลังมือของผู้ดูแลให้รู้สึกอุ่นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป ผ้าขนหนู: เตรียมผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดตัว (อย่างน้อย 2-3 ผืน เพื่อแยกส่วนบน ส่วนล่าง และบริเวณอวัยวะขับถ่าย) และผ้าขนหนูผืนใหญ่สำหรับคลุมตัวและซับให้แห้ง สบู่เหลวสูตรอ่อนโยน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีน้ำหอมหรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อุปกรณ์ทำความสะอาดอื่นๆ: แชมพูสระผมแบบไม่ต้องล้างออก (Dry Shampoo), …
ปัญหาปอดอักเสบในผู้ป่วยติดเตียงและวิธีป้องกัน ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

ปัญหาปอดอักเสบในผู้ป่วยติดเตียงและวิธีป้องกัน | ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นภารกิจที่ต้องใช้ทั้งความรัก ความอดทน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในภาวะสุขภาพที่เปราะบางของผู้ป่วย นอกเหนือจากการดูแลกิจวัตรประจำวันทั่วไปแล้ว หนึ่งในความท้าทายและภาวะแทรกซ้อนที่น่ากังวลที่สุดคือ “ภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อ” (Pneumonia) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ ของการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตในผู้ป่วยกลุ่มนี้ การตระหนักถึงความเสี่ยงและเรียนรู้วิธีป้องกันอย่างถูกต้องจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คนที่คุณรักมีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัย ผู้ป่วยติดเตียงคือกลุ่มเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดปอดอักเสบ ด้วยข้อจำกัดทางร่างกายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติ ทำให้เกิดภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาและแนวทางการป้องกันจึงไม่ใช่แค่หน้าที่ของผู้ดูแล แต่เป็นเกราะป้องกันสำคัญสำหรับผู้ป่วยทุกคน ทำไมผู้ป่วยติดเตียงจึงเสี่ยงต่อภาวะปอดอักเสบสูง? สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงมีความเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบสูงกว่าคนทั่วไปนั้น มีปัจจัยร่วมหลายประการ ดังนี้ การสะสมของเสมหะและการระบายอากาศของปอดที่ลดลง เมื่อร่างกายอยู่ในท่านอนเป็นเวลานาน การขยายตัวของปอดจะทำได้ไม่เต็มที่เท่ากับท่านั่งหรือท่ายืน ส่งผลให้การระบายอากาศเป็นไปอย่างจำกัด เสมหะและของเหลวต่างๆ ที่ผลิตขึ้นในทางเดินหายใจไม่สามารถถูกขับออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นแหล่งสะสมชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นำไปสู่การอักเสบติดเชื้อในที่สุด นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยไม่สามารถไอเพื่อขับเสมหะออกได้เอง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นไปอีก การสำลักอาหารและของเหลว (Aspiration Pneumonia) ภาวะการสำลักเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยติดเตียง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหาการกลืนลำบาก หรือผู้ป่วยที่ต้องรับอาหารทางสายยาง การสำลักแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถนำเศษอาหาร น้ำลาย หรือของเหลวในกระเพาะอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนไหลย้อนกลับเข้าไปสู่หลอดลมและปอด ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงที่เรียกว่า “ปอดอักเสบจากการสำลัก” ซึ่งมักมีความรุนแรงและรักษายากกว่าปอดอักเสบทั่วไป ภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอลง ผู้ป่วยติดเตียงส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้า ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยรวมอ่อนแอลงกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้น จึงมีแนวโน้มที่จะลุกลามและทวีความรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว สัญญาณเตือนและอาการของภาวะปอดอักเสบที่ต้องเฝ้าระวัง การสังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วยติดเตียงอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะผู้ป่วยอาจไม่สามารถสื่อสารหรือบอกเล่าอาการของตนเองได้ชัดเจน สัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่: มีไข้สูง หนาวสั่น: เป็นอาการตอบสนองเบื้องต้นของร่างกายเมื่อเกิดการติดเชื้อ ไอ มีเสมหะเพิ่มขึ้น: เสมหะอาจมีสีเปลี่ยนไป เช่น สีเหลือง เขียว หรือมีเลือดปน หายใจหอบเหนื่อย: สังเกตได้จากอัตราการหายใจที่เร็วขึ้น หายใจลำบาก หรือมีเสียงดังผิดปกติ เจ็บแน่นหน้าอก: ผู้ป่วยอาจแสดงอาการกระสับกระส่ายหรือไม่สุขสบายเมื่อหายใจเข้าลึกๆ ระดับความรู้สึกตัวลดลง: อาการซึมลง สับสน หรือไม่ตอบสนอง เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ: สังเกตได้จากริมฝีปากหรือปลายมือปลายเท้าที่มีสีเขียวคล้ำ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะการรักษาที่ทันท่วงทีสามารถลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แนวทางการป้องกันภาวะปอดอักเสบในผู้ป่วยติดเตียงอย่างมีประสิทธิภาพ การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ สำหรับการดูแลผู้ป่วยติดเตียงเพื่อลดความเสี่ยงปอดอักเสบ สามารถปฏิบัติได้ดังนี้: การจัดท่านั่งและพลิกตะแคงตัว หัวใจสำคัญที่สุดคือการขยับและเคลื่อนไหว การจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งศีรษะสูงอย่างน้อย 30-45 องศา โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวันและระหว่างการให้อาหาร จะช่วยให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น …
การให้อาหารผู้ป่วยติดเตียงผ่านสายยาง คำแนะนำสำหรับผู้ดูแล ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก

การให้อาหารผู้ป่วยติดเตียงผ่านสายยาง – คำแนะนำสำหรับผู้ดูแล | ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง แสนรัก

การให้อาหารผ่านสายยางเป็นวิธีการสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารผ่านปากได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นเนื่องจากปัญหาการกลืน การไม่รู้สึกตัว หรือความผิดปกติของระบบย่อยอาหารส่วนบน การให้อาหารผ่านสายยางต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และการดูแลอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนการให้อาหารผ่านสายยางอย่างละเอียด ตั้งแต่การทำความเข้าใจประเภทของสายยาง การเตรียมอาหารและอุปกรณ์ เทคนิคการให้อาหารที่ถูกต้อง การดูแลสายยาง ไปจนถึงการสังเกตและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการให้อาหารผ่านสายยาง ประเภทของสายยางและการใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารตามคำแนะนำของแพทย์อาจช่วยลดการไหลย้อนและการระคายเคือง การหลีกเลี่ยงการให้อาหารในปริมาณมากครั้งเดียวและการแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อจะช่วยลดแรงดันในกระเพาะอาหาร การจัดการปัญหาระบบย่อยอาหาร ท้องเสียเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารผ่านสายยาง สาเหตุอาจมาจากการให้อาหารเร็วเกินไป อาหารที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป การติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงจากยา การลดความเร็วในการให้อาหาร การเจือจางอาหารลง หรือการเปลี่ยนประเภทอาหารอาจช่วยแก้ปัญหา การให้โปรไบโอติกส์ตามคำแนะนำของแพทย์อาจช่วยฟื้นฟูสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ การติดตามปริมาณและลักษณะของการขับถ่ายเป็นสิ่งสำคัญ ท้องผูกอาจเกิดจากการขาดเส้นใยในอาหาร การขาดการเคลื่อนไหว หรือผลข้างเคียงจากยา การเพิ่มปริมาณน้ำ การเลือกอาหารที่มีเส้นใยเหมาะสม และการนวดท้องเบาๆ อาจช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ท้องอืดอาจเกิดจากการให้อาหารเร็วเกินไป การสะสมของก๊าซ หรือการทำงานของลำไส้ที่ผิดปกติ การให้อาหารช้าลงและการเปลี่ยนท่านอนผู้ป่วยเป็นระยะจะช่วยลดอาการ การจัดการปัญหาด้านโภชนาการ การขาดสารอาหารอาจเกิดขึ้นหากการให้อาหารไม่เพียงพอหรือไม่สมดุล การติดตามน้ำหนัก ระดับโปรตีนในเลือด และสัญญาณชีพเป็นประจำจะช่วยประเมินสถานะทางโภชนาการ การปรับปริมาณและสูตรอาหารตามคำแนะนำของนักโภชนาการเป็นสิ่งจำเป็น การเสียดุลยน้ำและเกลือแร่อาจเกิดจากการสูญเสียของเหลวมากหรือการได้รับไม่เพียงพอ การตรวจเลือดเป็นระยะจะช่วยติดตามและปรับแก้ความผิดปกติ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อาหารผ่านสายยางอาจทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นลงอย่างรวดเร็ว การตรวจระดับน้ำตาลบ่อยขึ้นและการปรับยาตามคำแนะนำแพทย์เป็นสิ่งจำเป็น การเลือกอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำและการให้อย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ การบันทึกและติดตามผล ระบบการบันทึกที่มีประสิทธิภาพ การบันทึกข้อมูลเป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลที่มีคุณภาพ ควรบันทึกเวลาการให้อาหาร ปริมาณอาหารที่ให้ และปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยรับได้จริง การบันทึกอาการข้างเคียงหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น อาเจียน ท้องเสีย หรือความไม่สบาย ปริมาณน้ำที่ใช้ล้างสายยางและปริมาณการขับถ่าย การวัดน้ำหนักเป็นประจำและการบันทึกสัญญาณชีพก็เป็นข้อมูลสำคัญ การใช้แบบฟอร์มบันทึกที่มีโครงสร้างชัดเจนจะช่วยให้การบันทึกครบถ้วนและเป็นระบบ การบันทึกในสมุดหรือแอปพลิเคชันที่สามารถแชร์ข้อมูลกับทีมการแพทย์ได้จะเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร การถ่ายรูปสภาพบริเวณสายยางหากมีความผิดปกติจะช่วยในการประเมินและติดตาม การสำรองข้อมูลและการเก็บรักษาที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ การประเมินผลและการปรับปรุง การประเมินประสิทธิภาพของการให้อาหารควรทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ การพิจารณาว่าผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอหรือไม่ มีอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ และสภาพทั่วไปดีขึ้นหรือแย่ลง การปรึกษานักโภชนาการเป็นระยะจะช่วยปรับสูตรอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลง การติดตามแนวโน้มของน้ำหนักและผลตรวจเลือดจะช่วยประเมินสถานะทางโภชนาการ การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ป่วย (หากสามารถสื่อสารได้) เกี่ยวกับความสบายและความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ การปรับปรุงเทคนิคการดูแลตามประสบการณ์และข้อเสนอแนะจากทีมการแพทย์จะช่วยเพิ่มคุณภาพการดูแล การฝึกอบรมและอัพเดทความรู้ใหม่ๆ เป็นประจำจะช่วยให้ผู้ดูแลมีทักษะที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน การวางแผนสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็น ควรมีหมายเลขโทรศัพท์ของแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาลไว้ในที่หาง่าย การรู้จักสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที เช่น การหายใจลำบาก …
อุปกรณ์จำเป็นสำหรับดูแลผู้ป่วยติดเตียง รายการครบถ้วน ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

อุปกรณ์จำเป็นสำหรับดูแลผู้ป่วยติดเตียง – คู่มือเลือกซื้อครบครัน | ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้านต้องอาศัยอุปกรณ์ที่เหมาะสมและครบครัน เพื่อให้การดูแลมีประสิทธิภาพและผู้ป่วยได้รับความสบายสูงสุด การเลือกซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยในการดูแลเท่านั้น แต่ยังช่วยลดภาระของผู้ดูแลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะแนะนำอุปกรณ์จำเป็นทุกประเภทสำหรับการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ตั้งแต่เตียงและที่นอนพิเศษ อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ เครื่องมือช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและการติดตามสุขภาพ พร้อมคำแนะนำในการเลือกซื้อที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการ เตียงผู้ป่วยและอุปกรณ์พื้นฐาน เตียงผู้ป่วยแบบปรับได้ เตียงผู้ป่วยที่สามารถปรับระดับได้เป็นอุปกรณ์หลักที่สำคัญที่สุด เตียงแบบไฟฟ้าให้ความสะดวกในการปรับหัวเตียงและท้ายเตียงได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ผู้ป่วยนั่งได้ในมุมที่เหมาะสมสำหรับการรับประทานอาหารหรือพักผ่อน เตียงแบบมือหมุนมีราคาประหยัดกว่าแต่ต้องใช้แรงในการปรับ ควรเลือกเตียงที่มีราวกั้นปรับได้ล็อกได้แน่น และมีล้อที่สามารถล็อกได้เพื่อความปลอดภัย ความกว้างของเตียงควรเหมาะสมกับขนาดตัวของผู้ป่วย เตียงมาตรฐานกว้าง 90 เซนติเมตร เหมาะสำหรับผู้ป่วยทั่วไป ส่วนเตียงขนาดใหญ่กว้าง 120 เซนติเมตร เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีขนาดตัวใหญ่หรือต้องการพื้นที่มากขึ้น วัสดุของเฟรมเตียงควรเป็นเหล็กหรือโลหะผสมที่แข็งแรงและทนทาน การเลือกสีขาวหรือครีมจะช่วยให้ดูสะอาดและตรวจสอบความสกปรกได้ง่าย ราวกั้นเตียงและอุปกรณ์ความปลอดภัย ราวกั้นเตียงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ป้องกันผู้ป่วยตกเตียง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะสับสนหรือเคลื่อนไหวไม่ควบคุม ราวกั้นควรมีความสูงอย่างน้อย 45 เซนติเมตร และสามารถปรับลงได้เพื่อความสะดวกในการดูแล วัสดุควรเป็นโลหะที่แข็งแรงและมีการเคลือบป้องกันสนิม ระยะห่างของลูกกรงไม่ควรเกิน 6 เซนติเมตรเพื่อป้องกันการติดคอหรือแขนขา โต๊ะข้างเตียงแบบปรับระดับได้ช่วยให้ผู้ป่วยเอื้อมถึงของใช้ได้สะดวก ควรมีล้อเลื่อนและสามารถล็อกได้ พื้นผิวควรเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย เช่น พลาสติกหรือเมลามีน ขนาดควรพอดีกับพื้นที่ข้างเตียงและมีที่เก็บของด้านล่าง สายเรียกพยาบาลแบบไร้สายช่วยให้ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้ทันทีเมื่อต้องการ ระบบแสงสว่างและการควบคุมสิ่งแวดล้อม โคมไฟข้างเตียงควรให้แสงที่นุ่มนวลและปรับความสว่างได้ หลอดไฟ LED ให้แสงสว่างดีและประหยัดไฟ ควรมีโคมไฟส่องสว่างทั้งห้องและโคมไฟอ่านหนังสือแยกกัน สวิตช์ควรอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ป่วยเอื้อมถึงได้ หรือใช้รีโมทคอนโทรล พัดลมเพดานหรือพัดลมตั้งโต๊ะช่วยหมุนเวียนอากาศและให้ความเย็นสบาย เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความชื้นช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในระดับที่เหมาะสม อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยติดเตียงอยู่ระหว่าง 22-26 องศาเซลเซียส ความชื้นควรอยู่ระหว่าง 40-60 เปอร์เซ็นต์ เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นแบบดิจิทัลช่วยติดตามสภาพอากาศในห้อง ที่นอนและอุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ ที่นอนป้องกันแผลกดทับ ที่นอนลมแบบสลับแรงดันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผลกดทับ ระบบจะสลับการพองและแฟบของท่อลมเป็นรอบ ช่วยเปลี่ยนจุดกดทับอย่างต่อเนื่อง เครื่องปั๊มลมควรมีการปรับแรงดันอัตโนมัติและเสียงเงียบ ที่นอนแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่นอนติดเตียงตลอดเวลาและไม่สามารถเปลี่ยนท่านอนเองได้ ที่นอนโฟมความหนาแน่นต่ำเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า ทำจากโฟมพิเศษที่ช่วยกระจายน้ำหนักและลดจุดกดทับ ความหนาควรอย่างน้อย 10 เซนติเมตร และมีความแข็งที่เหมาะสม ไม่แข็งจนเกินไปหรือนุ่มจนยุบตัว ที่นอนเจลให้ความเย็นสบายและปรับตัวตามรูปร่างของร่างกาย แต่มีน้ำหนักมากและราคาสูงกว่า ที่นอนน้ำให้การรองรับที่นุ่มนวลแต่ต้องการการบำรุงรักษามาก หมอนและอุปกรณ์รองรับ หมอนรูปลิ่มเหมาะสำหรับรองรับในท่านอนตะแคง ช่วยรักษาความเป็นธรรมชาติของกระดูกสันหลัง มุมของหมอนควรอยู่ระหว่าง 30-45 องศา วัสดุควรเป็นโฟมที่มีความยืดหยุ่นและกลับคืนรูปได้ดี หมอนรองขาช่วยยกส้นเท้าให้พ้นจากที่นอน …
การเปลี่ยนท่านอนผู้ป่วยติดเตียง วิธีการที่ถูกต้องและปลอดภัย ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การเปลี่ยนท่านอนผู้ป่วยติดเตียง – วิธีการที่ถูกต้องและปลอดภัย | ศูนย์ดูแลผู้ติดเตียง บ้านแสนรัก

การเปลี่ยนท่านอนเป็นกิจกรรมสำคัญที่สุดในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากช่วยป้องกันแผลกดทับ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และรักษาการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย การทำอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ป่วยสบายและปลอดภัย ขณะที่ผู้ดูแลก็ไม่เกิดการบาดเจ็บ บทความนี้จะแนะนำเทคนิคการเปลี่ยนท่านอนที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเตรียมความพร้อม หลักการทางกายศาสตร์ ไปจนถึงรูปแบบท่านอนต่างๆ และการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ หลักการพื้นฐานในการเปลี่ยนท่านอน ความสำคัญของการเปลี่ยนท่านอน การนอนในท่าเดิมเป็นเวลานานส่งผลเสียต่อร่างกายหลายประการ แรกคือการเกิดแผลกดทับจากการที่เลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณที่ถูกกดทับ โดยเฉพาะจุดที่มีกระดูกโปนออกมา เช่น กระเบนเหน็บ กระดูกหาง ข้อศอก และส้นเท้า ประการที่สองคือปัญหาทางระบบหายใจ เมื่อผู้ป่วยนอนในท่าเดียวกันนาน เสมหะจะสะสมในปอดและอาจเกิดการติดเชื้อได้ การขาดการเคลื่อนไหวยังส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อลีบและข้อติด การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดในขา ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต การเปลี่ยนท่านอนเป็นประจำจึงเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ความถี่และจังหวะเวลาในการเปลี่ยนท่า หลักการทั่วไปคือการเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมงสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง หากผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้บ้างหรือใช้อุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับ อาจขยายเป็นทุก 3-4 ชั่วโมง การจัดตารางเวลาที่แน่นอนและบันทึกไว้จะช่วยให้การดูแลมีความต่อเนื่อง ในเวลากลางคืนอาจปรับลดความถี่เล็กน้อยเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน การสังเกตสัญญาณจากผู้ป่วยก็สำคัญ หากผู้ป่วยแสดงความไม่สบายหรือปวดเมื่อ ควรเปลี่ยนท่าทันที แม้จะยังไม่ถึงเวลา การตรวจสอบผิวหนังหลังการเปลี่ยนท่าจะช่วยประเมินว่าท่านอนเดิมเหมาะสมหรือต้องปรับเปลี่ยน รอยแดงที่หายไปภายใน 30 นาทีถือว่าปกติ แต่หากรอยแดงคงอยู่นานกว่านั้น แสดงว่าต้องเปลี่ยนท่าบ่อยขึ้น การเตรียมความพร้อมก่อนเปลี่ยนท่านอน การประเมินสภาพผู้ป่วยและการวางแผน ก่อนเปลี่ยนท่านอนต้องประเมินสภาพของผู้ป่วยอย่างรอบคอบ ตรวจสอบว่ามีสายน้ำเกลือ สายออกซิเจน หรือสายสวนปัสสาวะติดอยู่หรือไม่ และต้องวางแผนการจัดการสายเหล่านี้ให้ปลอดภัย ประเมินน้ำหนักและขนาดตัวของผู้ป่วยเพื่อกำหนดจำนวนผู้ช่วยที่จำเป็น ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมากหรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ควรมีผู้ช่วยอย่างน้อย 2 คน การสื่อสารกับผู้ป่วยก่อนเริ่มดำเนินการเป็นสิ่งสำคัญ อธิบายสิ่งที่จะทำและขอความร่วมมือในการช่วยเหลือตามสามารถ หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวด ควรให้ยาแก้ปวดก่อนล่วงหน้า 30-60 นาที การเลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังอาหารแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ การเตรียมอุปกรณ์และสภาพแวดล้อม อุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องเตรียมรวมถึงหมอนหลากหลายขนาด แผ่นรองลื่นหรือผ้าเลื่อน ผ้าปูที่นอนสำรอง และถุงมือใช้แล้วทิ้ง การจัดเตียงให้มีความสูงที่เหมาะสมกับผู้ดูแลจะช่วยลดการก้มตัวและป้องกันการบาดเจ็บที่หลัง การล็อกล้อเตียงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันเตียงเลื่อน พื้นที่รอบเตียงต้องเป็นระเบียบและปราศจากสิ่งกีดขวาง แสงสว่างที่เพียงพอจะช่วยให้มองเห็นชัดเจน อุณหภูมิห้องควรอบอุ่นพอสมควรเพื่อความสบายของผู้ป่วย การปิดประตูหรือใช้ผ้าบังจะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว การเตรียมผ้าเช็ดตัวหรือผ้าห่มไว้ใกล้มือจะช่วยให้การทำงานราบรื่น เทคนิคการเปลี่ยนท่านอนพื้นฐาน การเปลี่ยนจากท่านอนหงายเป็นนอนตะแคง เริ่มจากการยืนอยู่ด้านข้างของเตียงที่จะหันผู้ป่วยไป วางมือข้างหนึ่งไว้ที่ไหล่และอีกข้างไว้ที่สะโพกของผู้ป่วย ใช้การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและต่อเนื่องในการหมุนตัวผู้ป่วย …
การป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง เทคนิคที่ต้องรู้ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

ป้องกันแผลกดทับผู้ป่วยติดเตียง | ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

แผลกดทับเป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของผู้ป่วยอย่างมาก ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก มีประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการดูแลและป้องกันแผลกดทับด้วยวิธีการที่ได้มาตรฐาน พร้อมทีมแพทย์และพยาบาลมืออาชีพที่คอยดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง แผลกดทับคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร แผลกดทับ หรือ Pressure Ulcer เป็นการบาดเจ็บของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เกิดจากการกดทับในบริเวณที่มีกระดูกโปนด้วยแรงกดและการเสียดสีอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยที่ติดเตียงนานมักพบปัญหานี้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้เองตามปกติ การเกิดแผลกดทับมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การกดทับอย่างต่อเนื่อง การเสียดสี ความชื้น สภาพโภชนาการ และการไหลเวียนเลือด ณ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของปัญหานี้ จึงได้พัฒนาระบบการดูแลที่ครอบคลุมทุกปัจจัยเสี่ยง จุดเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ ผู้ป่วยติดเตียงมีจุดเสี่ยงหลายบริเวณที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ บริเวณที่พบแผลกดทับบ่อยที่สุด ได้แก่ก้นกบ หลัง ส้นเท้า ข้อเท้า ศอก และหัวไหล่ จุดเหล่านี้เป็นบริเวณที่กระดูกอยู่ใกล้ผิวหนัง ทำให้เกิดแรงกดสูงเมื่อนอนหรือนั่งในท่าเดิมนานๆ ทีมผู้เชี่ยวชาญของ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก จะทำการประเมินจุดเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการป้องกันที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด การประเมินนี้จะพิจารณาถึงอายุ น้ำหนัก สภาพโภชนาการ และระดับการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย ขั้นตอนการป้องกันแผลกดทับอย่างมืออาชีพ การเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ หลักการสำคัญที่สุดในการป้องกันแผลกดทับคือการเปลี่ยนท่าทางอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยควรเปลี่ยนท่าทางทุก 2 ชั่วโมง หากนอนบนเตียง และทุก 15-30 นาที หากนั่งบนเก้าอี้ การเปลี่ยนท่าทางนี้ช่วยลดแรงกดและเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังเนื้อเยื่อ ที่ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก เรามีระบบการจัดตารางเปลี่ยนท่าทางที่เข้มงวด พยาบาลจะบันทึกเวลาและท่าทางของผู้ป่วยทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและครบถ้วน การใช้อุปกรณ์ป้องกันแรงกด อุปกรณ์ป้องกันแรงกดมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ ได้แก่ที่นอนลมพิเศษ เบาะลม หมอนรองตัว และเครื่องมือช่วยเปลี่ยนท่าทาง อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยกระจายแรงกดให้เท่าๆ กัน และลดจุดกดเฉพาะบริเวณ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก ใช้อุปกรณ์คุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานสากล ที่นอนลมแบบสลับแรงกดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ขณะที่หมอนรองตัวจะช่วยรักษาท่าทางที่เหมาะสมและลดแรงเสียดสี การดูแลความสะอาดและความชื้น ผิวหนังที่สะอาดและแห้งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันแผลกดทับ ความชื้นจากเหงื่อ ปัสสาวะ หรือการระบายถ่าย …
การป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง เทคนิคที่ต้องรู้ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

การป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง – เทคนิคที่ต้องรู้ | ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านแสนรัก

แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายในผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเกิดจากการกดทับต่อเนื่องของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการขาดเลือดและตายของเซลล์ การป้องกันแผลกดทับจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากการรักษาแผลกดทับมีความซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายสูง บทความนี้จะนำเสนอเทคนิคการป้องกันแผลกดทับที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การทำความเข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง การเปลี่ยนท่านอนที่ถูกต้อง การเลือกใช้อุปกรณ์ช่วย ไปจนถึงการดูแลผิวหนังและโภชนาการที่เหมาะสม ทำความเข้าใจแผลกดทับและปัจจัยเสี่ยง กลไกการเกิดแผลกดทับ แผลกดทับเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดที่มากกว่าแรงดันเลือดในหลอดเลือดฝอย ซึ่งมีค่าประมาณ 25-32 มิลลิเมตรปรอท การกดทับที่จุดโปนของกระดูกเป็นเวลานานจะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ ส่งผลให้เกิดการขาดออกซิเจนและสารอาหาร เซลล์จึงเริ่มตายและเกิดเป็นแผลขึ้น นอกจากแรงกดแล้ว แรงเสียดทานและแรงดึงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการเกิดแผลกดทับ จุดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผลกดทับ ได้แก่ บริเวณที่มีกระดูกโปนออกมาใกล้ผิวหนัง เช่น กระเบนเหน็บ กระดูกหาง ข้อศอก ข้อเท้า ส้นเท้า หัวเข่า และด้านข้างของสะโพก ในท่านอนหงาย จุดเสี่ยงหลักคือ กระดูกหาง กระเบนเหน็บ และส้นเท้า ส่วนในท่านอนตะแคงจะเป็นบริเวณสะโพกด้านข้างและข้อเข่า ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับแบ่งออกเป็นหลายประเภท ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ได้แก่ การนอนติดเตียงเป็นเวลานาน การไม่สามารถเปลี่ยนท่านอนได้เอง และการสูญเสียความรู้สึก ปัจจัยทางโภชนาการ เช่น การขาดโปรตีน การขาดน้ำ น้ำหนักน้อยหรือมากเกินไป และระดับฮีโมโกลบินต่ำ ส่งผลต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและความแข็งแรงของผิวหนัง สภาวะสุขภาพที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด การติดเชื้อ และการใช้ยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ที่ทำให้ผิวหนังบางลงและหายช้า อายุที่มากขึ้นยังเป็นปัจจัยเสี่ยงเนื่องจากผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลงและการไหลเวียนเลือดไม่ดี ความชื้นจากเหงื่อ ปัสสาวะ หรือการขับถ่าย ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและเสียดทานได้ง่าย เทคนิคการเปลี่ยนท่านอนที่มีประสิทธิภาพ หลักการและความถี่ในการเปลี่ยนท่านอน การเปลี่ยนท่านอนเป็นวิธีการป้องกันแผลกดทับที่สำคัญที่สุด ควรเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และอาจปรับเป็นทุก 4 ชั่วโมงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำ การจัดตารางเวลาการเปลี่ยนท่านอนและติดตามอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ที่นอนพิเศษที่ช่วยลดแรงกดทับ อาจขยายระยะเวลาได้แต่ไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมง การเปลี่ยนท่านอนต้องทำอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการลากหรือดึงผู้ป่วยที่อาจทำให้เกิดแรงเสียดทาน ควรยกผู้ป่วยขึ้นแล้วย้ายท่าทีละส่วน การใช้แผ่นรองลื่นหรือผ้าเลื่อนจะช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างการเปลี่ยนท่า หลังจากเปลี่ยนท่านอนแล้วควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนใดของร่างกายถูกกดทับใต้ตัวผู้ป่วย ท่านอนที่แนะนำและการจัดท่า ท่านอนพื้นฐานที่ใช้ในการป้องกันแผลกดทับมี 4 …
คู่มือการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน ขั้นตอนพื้นฐานสำหรับญาติ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียง บ้านแสนรัก

คู่มือการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน ขั้นตอนพื้นฐานสำหรับญาติ | บ้านแสนรัก

การดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้านเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญและท้าทายสำหรับสมาชิกในครอบครัว การมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุด พร้อมทั้งลดภาระของผู้ดูแล บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนพื้นฐานในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ตั้งแต่การเตรียมสภาพแวดล้อม การดูแลอนามัยส่วนบุคคล ไปจนถึงการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น การเตรียมห้องและสภาพแวดล้อมสำหรับผู้ป่วยติดเตียง การจัดเตียงและอุปกรณ์พื้นฐาน การเลือกเตียงที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง เตียงควรมีความสูงที่เหมาะสมกับผู้ดูแล เพื่อความสะดวกในการดูแลและลดการบาดเจ็บจากการก้มตัว ที่นอนควรเป็นแบบกันน้ำหรือมีแผ่นรองกันน้ำ เพื่อป้องกันการเปียกชื้นจากสารคัดหลั่งของร่างกาย ราวกั้นเตียงเป็นอุปกรณ์จำเป็นเพื่อป้องกันผู้ป่วยตกเตียง โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะสับสนหรือเคลื่อนไหวไม่ควบคุม นอกจากนี้ควรเตรียมหมอนรองขาและหมอนรองศีรษะที่เหมาะสม เพื่อช่วยในการจัดท่านอนที่ถูกต้องและสะดวกสบาย การจัดระบบแสงสว่างและการระบายอากาศ ห้องผู้ป่วยควรมีแสงธรรมชาติเข้ามาได้เพียงพอในช่วงกลางวัน แต่ไม่ควรให้แสงแดดส่องโดยตรงใส่ผู้ป่วย การติดผ้าม่านที่สามารถปรับแสงได้จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม การระบายอากาศที่ดีช่วยลดความชื้นและป้องกันการเกิดกลิ่นอับ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทหรือใช้พัดลมช่วยหมุนเวียนอากาศ อุณหภูมิในห้องควรอยู่ในระดับ 22-26 องศาเซลเซียส เพื่อความสบายของผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการปรับอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนจัด เนื่องจากผู้ป่วยติดเตียงมักมีระบบควบคุมอุณหภูมิร่างกายที่ไม่ดี การดูแลอนามัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยติดเตียง การอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกาย การดูแลความสะอาดร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมากในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง การอาบน้ำบนเตียงควรทำอย่างระมัดระวังและใช้น้ำอุ่นที่อุณหภูมิเหมาะสม เริ่มจากการเช็ดใบหน้า คอ แขน ลำตัว และขา ตามลำดับ ใช้ผ้าขนหนูสะอาดและเปลี่ยนน้ำบ่อยครั้งเพื่อรักษาความสะอาด การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรใช้น้ำสะอาดและเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลังจากทำความสะอาดแล้วควรเช็ดให้แห้งสนิทและใส่เสื้อผ้าสะอาด การดูแลช่องปากและฟัน การดูแลอนามัยช่องปากสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากการนอนนานๆ อาจทำให้เกิดแบคทีเรียในช่องปากได้ง่าย ควรแปรงฟันหรือเช็ดฟันด้วยผ้าเปียกอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หากผู้ป่วยไม่สามารถบ้วนปากได้ ให้ใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำสะอาดเช็ดช่องปากและเหงือกเบาๆ การดูแลเล็บมือและเล็บเท้าก็สำคัญเช่นกัน ควรตัดเล็บให้สั้นและสะอาดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเป็นแผลจากการข่วนและลดการสะสมของเชื้อโรค การป้องกันและดูแลแผลกดทับ การเปลี่ยนท่านอนและการนวด แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยติดเตียง การเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมงเป็นวิธีการป้องกันที่สำคัญที่สุด ควรหมุนเวียนระหว่างท่านอนหงาย นอนตะแคง และนอนคว่ำ หากสภาพร่างกายของผู้ป่วยอำนวย การนวดบริเวณที่มีการกดทับ เช่น หลัง สะโพก ข้อศอก และส้นเท้า จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ควรนวดเบาๆ ด้วยลูกมือเป็นวงกลม หลีกเลี่ยงการนวดแรงเกินไปที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ การใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันแผลกดทับ หมอนรองขาและแผ่นรองป้องกันแผลกดทับเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มาก ควรวางหมอนรองไว้ใต้บริเวณที่มีกระดูกโปนออกมา เช่น ใต้ข้อเท้า ระหว่างเข่า และใต้แขน การใช้ที่นอนลมหรือที่นอนเจลยังช่วยกระจายน้ำหนักและลดแรงกดทับได้ดี การตรวจสอบผิวหนังเป็นประจำทุกวันเป็นสิ่งจำเป็น หากพบบริเวณที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง มีความร้อน หรือเจ็บเมื่อกด …