
แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายในผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเกิดจากการกดทับต่อเนื่องของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการขาดเลือดและตายของเซลล์ การป้องกันแผลกดทับจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากการรักษาแผลกดทับมีความซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายสูง บทความนี้จะนำเสนอเทคนิคการป้องกันแผลกดทับที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การทำความเข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง การเปลี่ยนท่านอนที่ถูกต้อง การเลือกใช้อุปกรณ์ช่วย ไปจนถึงการดูแลผิวหนังและโภชนาการที่เหมาะสม
ทำความเข้าใจแผลกดทับและปัจจัยเสี่ยง
กลไกการเกิดแผลกดทับ
แผลกดทับเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดที่มากกว่าแรงดันเลือดในหลอดเลือดฝอย ซึ่งมีค่าประมาณ 25-32 มิลลิเมตรปรอท การกดทับที่จุดโปนของกระดูกเป็นเวลานานจะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ ส่งผลให้เกิดการขาดออกซิเจนและสารอาหาร เซลล์จึงเริ่มตายและเกิดเป็นแผลขึ้น นอกจากแรงกดแล้ว แรงเสียดทานและแรงดึงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการเกิดแผลกดทับ
จุดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผลกดทับ ได้แก่ บริเวณที่มีกระดูกโปนออกมาใกล้ผิวหนัง เช่น กระเบนเหน็บ กระดูกหาง ข้อศอก ข้อเท้า ส้นเท้า หัวเข่า และด้านข้างของสะโพก ในท่านอนหงาย จุดเสี่ยงหลักคือ กระดูกหาง กระเบนเหน็บ และส้นเท้า ส่วนในท่านอนตะแคงจะเป็นบริเวณสะโพกด้านข้างและข้อเข่า
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับแบ่งออกเป็นหลายประเภท ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ได้แก่ การนอนติดเตียงเป็นเวลานาน การไม่สามารถเปลี่ยนท่านอนได้เอง และการสูญเสียความรู้สึก ปัจจัยทางโภชนาการ เช่น การขาดโปรตีน การขาดน้ำ น้ำหนักน้อยหรือมากเกินไป และระดับฮีโมโกลบินต่ำ ส่งผลต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและความแข็งแรงของผิวหนัง
สภาวะสุขภาพที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด การติดเชื้อ และการใช้ยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ที่ทำให้ผิวหนังบางลงและหายช้า อายุที่มากขึ้นยังเป็นปัจจัยเสี่ยงเนื่องจากผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลงและการไหลเวียนเลือดไม่ดี ความชื้นจากเหงื่อ ปัสสาวะ หรือการขับถ่าย ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและเสียดทานได้ง่าย
เทคนิคการเปลี่ยนท่านอนที่มีประสิทธิภาพ
หลักการและความถี่ในการเปลี่ยนท่านอน
การเปลี่ยนท่านอนเป็นวิธีการป้องกันแผลกดทับที่สำคัญที่สุด ควรเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และอาจปรับเป็นทุก 4 ชั่วโมงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำ การจัดตารางเวลาการเปลี่ยนท่านอนและติดตามอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ที่นอนพิเศษที่ช่วยลดแรงกดทับ อาจขยายระยะเวลาได้แต่ไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมง
การเปลี่ยนท่านอนต้องทำอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการลากหรือดึงผู้ป่วยที่อาจทำให้เกิดแรงเสียดทาน ควรยกผู้ป่วยขึ้นแล้วย้ายท่าทีละส่วน การใช้แผ่นรองลื่นหรือผ้าเลื่อนจะช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างการเปลี่ยนท่า หลังจากเปลี่ยนท่านอนแล้วควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนใดของร่างกายถูกกดทับใต้ตัวผู้ป่วย
ท่านอนที่แนะนำและการจัดท่า
ท่านอนพื้นฐานที่ใช้ในการป้องกันแผลกดทับมี 4 ท่าหลัก ท่านอนหงายเป็นท่าที่สะดวกที่สุดแต่ต้องระวังการกดทับที่กระดูกหาง ส้นเท้า และกระเบนเหน็บ ควรใช้หมอนรองใต้ขาเพื่อยกส้นเท้าขึ้นจากที่นอน ท่านอนตะแคงขวาและซ้ายช่วยลดแรงกดทับที่หลังส่วนล่าง แต่ต้องระวังการกดทับที่สะโพกด้านข้าง ควรวางหมอนไว้ระหว่างขาและหลังเพื่อรองรับ
ท่านอนคว่ำเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่สามารถหายใจได้ดีและไม่มีปัญหาทางเดินหายใจ ท่านี้ช่วยลดแรงกดทับที่หลังแต่ต้องระวังการกดทับที่หน้าอกและอวัยวะเพศ การจัดท่าต้องระมัดระวังหันหน้าไปด้านข้างเพื่อให้หายใจสะดวก ท่านั่งบนเตียงหรือเก้าอี้ยังเป็นอีกทางเลือกที่ดี แต่ต้องระวังการกดทับที่กระดูกหาง ควรใช้เบาะรองนั่งพิเศษและเปลี่ยนน้ำหนักเป็นระยะ
การใช้หมอนและอุปกรณ์รองรับ
การจัดวางหมอนอย่างเหมาะสมเป็นส่วนสำคัญของการป้องกันแผลกดทับ หมอนรองส้นเท้าควรวางใต้น่องเพื่อให้ส้นเท้าลอยจากที่นอน หมอนรองระหว่างขาในท่านอนตะแคงช่วยป้องกันการเสียดทานระหว่างเข่า หมอนรองหลังช่วยรักษาท่านอนตะแคงให้คงที่และป้องกันการหมุนกลับมาท่าเดิม
รูปทรงและขนาดของหมอนมีผลต่อประสิทธิภาพ หมอนที่นุ่มเกินไปอาจไม่ให้การรองรับที่เพียงพอ ในขณะที่หมอนแข็งเกินไปอาจสร้างจุดกดทับใหม่ หมอนรูปลิ่มเหมาะสำหรับรองรับในท่านอนตะแคง หมอนกลมหรือแบบโดนัทไม่แนะนำเนื่องจากอาจทำให้เกิดการกดทับรอบขอบ วัสดุของหมอนควรระบายอากาศได้ดีและไม่กักเก็บความชื้น
การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับ
ประเภทของที่นอนพิเศษ
ที่นอนลมแบบสลับแรงดันเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมสูง โดยมีลักษณะเป็นท่อลมที่สลับการพองและแฟบเป็นรอบ เพื่อเปลี่ยนจุดกดทับอย่างต่อเนื่อง ที่นอนชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดแผลกดทับ หรือผู้ป่วยที่มีแผลกดทับระยะเริ่มต้น ข้อดีคือการทำงานอัตโนมัติและลดภาระของผู้ดูแล ข้อเสียคือเสียงจากเครื่องปั๊มลมและความต้องการไฟฟ้าต่อเนื่อง
ที่นอนโฟมความหนาแน่นต่ำเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า โดยมีโครงสร้างโฟมพิเศษที่ช่วยกระจายน้ำหนักและลดแรงกดทับ ที่นอนเจลมีคุณสมบัติในการปรับตัวตามรูปร่างของร่างกายและมีความเย็นที่ช่วยให้รู้สึกสบาย ที่นอนน้ำให้การรองรับที่นุ่มนวลแต่อาจมีปัญหาเรื่องการรั่วซึมและน้ำหนักที่มาก ที่นอนลมธรรมดาเป็นทางเลือกที่ราคาถูกแต่ต้องการการปรับแรงดันที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้นุ่มหรือแข็งเกินไป
เบาะรองนั่งและอุปกรณ์เสริม
เบาะรองนั่งมีความสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่สามารถนั่งได้ เบาะเจลหรือโฟมแบบพิเศษช่วยกระจายน้ำหนักและลดแรงกดทับที่กระดูกหาง เบาะลมที่สามารถปรับแรงดันได้เหมาะสำหรับการใช้งานระยะยาว การเลือกเบาะต้องพิจารณาน้ำหนักของผู้ใช้ ระยะเวลาที่นั่ง และความสามารถในการเปลี่ยนท่านั่ง
อุปกรณ์ป้องกันส้นเท้า เช่น ถุงเท้าเจลหรือรองเท้าพิเศษ ช่วยป้องกันแผลกดทับที่ส้นเท้าและข้อเท้า ผ้าปูที่นอนแบบพิเศษที่มีคุณสมบัติลดแรงเสียดทานและระบายความชื้นได้ดี ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม หมอนรองข้อศอกและเข่าช่วยป้องกันการกดทับในบริเวณเหล่านี้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ผอมหรือมีกล้ามเนื้อน้อย
การบำรุงรักษาและการใช้งานที่ถูกต้อง
การบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับเป็นสิ่งสำคัญต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งาน ที่นอนลมต้องตรวจสอบแรงดันเป็นประจำและทำความสะอาดตามคำแนะนำของผู้ผลิต เครื่องปั๊มลมต้องตรวจสอบการทำงานและเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด ที่นอนโฟมต้องผึ่งลมให้แห้งและหลีกเลี่ยงการถูกน้ำเป็นเวลานาน
การใช้งานที่ถูกต้องต้องเริ่มจากการอ่านคู่มือการใช้งานให้เข้าใจ การปรับตั้งอุปกรณ์ตามน้ำหนักและสภาพของผู้ป่วย การตรวจสอบการทำงานก่อนใช้ทุกครั้ง และการบันทึกปัญหาที่พบเพื่อแก้ไขอย่างทันท่วงที การฝึกอบรมผู้ดูแลในการใช้งานอุปกรณ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย
การดูแลผิวหนังและสุขอนามัย
การตรวจสอบและประเมินผิวหนัง
การตรวจสอบผิวหนังเป็นประจำเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันแผลกดทับ ควรตรวจสอบอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะหลังจากการเปลี่ยนท่านอน การมองหาสัญญาณเตือนได้แก่ การเปลี่ยนสีของผิวหนัง ความร้อน การบวม ความแข็ง หรือการเจ็บเมื่อกด ในผู้ที่มีผิวสีเข้มต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของความสว่างหรือการเป็นมันของผิวหนัง
เทคนิคการตรวจสอบที่ถูกต้องคือการใช้แสงที่เพียงพอ การสัมผัสเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว และการใช้กระจกช่วยในการมองบริเวณที่มองเห็นยาก การบันทึกผลการตรวจสอบในแผนภาพร่างกายจะช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงและสื่อสารกับทีมการรักษา การถ่ายรูปบริเวณที่น่าสงสัยอาจช่วยในการติดตามการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป
การทำความสะอาดและรักษาความชื้น
การทำความสะอาดผิวหนังต้องใช้น้ำอุ่นและสบู่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการถูแรงหรือใช้แอลกอฮอล์ที่อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง หลังจากทำความสะอาดแล้วต้องเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นคั่ง เช่น ใต้วงแขน ใต้เต้านม และบริเวณอวัยวะเพศ การใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่ไม่มีแอลกอฮอล์จะช่วยรักษาความชื้นและความยืดหยุ่นของผิว
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาการขับถ่าย การทำความสะอาดต้องทำทันทีหลังการปนเปื้อน ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมี pH ที่เหมาะสมกับผิวหนัง การใช้ครีมกันผื่นผ้าอ้อมหรือครีมปิดกั้นช่วยป้องกันการระคายเคืองจากความชื้น การเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือแผ่นรองที่เปียกชื้นทันทีเป็นสิ่งจำเป็น
การจัดการกับความชื้นและการระบายอากาศ
ความชื้นเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ ผิวหนังที่ชื้นจะนุ่มและเสียดทานได้ง่าย การระบายอากาศที่ดีช่วยลดการสะสมของความชื้น การใช้พัดลมเบาๆ หรือการเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท จะช่วยให้ผิวหนังแห้งและสบาย การเลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้ายหรือผ้าไผ่ ดีกว่าผ้าสังเคราะห์
ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนควรเป็นวัสดุที่ดูดซับความชื้นและระบายอากาศได้ดี การเปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยครั้งหรือเมื่อเปียกชื้น เป็นสิ่งจำเป็น การใช้แผ่นรองซับความชื้นที่มีคุณภาพดีจะช่วยปกป้องที่นอนและรักษาความแห้ง หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าพลาสติกหรือวัสดุที่ไม่ระบายอากาศโดยตรงบนผิวหนัง
บทบาทของโภชนาการในการป้องกันแผลกดทับ
สารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพผิวหนัง
โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ผู้ป่วยติดเตียงควรได้รับโปรตีนประมาณ 1.2-1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน แหล่งโปรตีนที่ดี ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง วิตามิน C มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนและการรักษาสุขภาพของหลอดเลือด พบได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ผักใบเขียว และมะเขือเทศ
วิตามิน A ช่วยในการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่และการรักษาความชื้น พบได้ในตับ แครอท ผักใบเขียวเข้ม และผลไม้สีส้ม สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการรักษาแผลและภูมิคุ้มกัน พบได้ในเนื้อแดง หอยนางรม ถั่ว และเมล็ดธัญพืช วิตามิน E มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยปกป้องเซลล์ผิวหนัง พบได้ในน้ำมันพืช ถั่ว และเมล็ดพืช
การจัดการน้ำและสมดุลไฟฟ้า
การได้รับน้ำเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาความยืดหยุ่นและความชื้นของผิวหนัง ผู้ป่วยติดเตียงควรได้รับน้ำประมาณ 30-35 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ การขาดน้ำจะทำให้ผิวหนังแห้ง เสียความยืดหยุ่น และเสียดทานได้ง่าย ในขณะที่น้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการบวมและลดการไหลเวียนเลือด
การสูญเสียไฟฟ้าจากการขับถ่าย การเหงื่อออก หรือการระบายของเหลวต้องได้รับการทดแทน โซเดียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมเป็นไฟฟ้าที่สำคัญต่อการทำงานของเซลล์และการรักษาสมดุลของเหลว การตรวจสอบระดับไฟฟ้าในเลือดเป็นประจำจะช่วยปรับแก้ภาวะขาดสมดุลก่อนที่จะส่งผลต่อสุขภาพผิวหนัง
การวางแผนอาหารสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
การวางแผนอาหารต้องคำนึงถึงความต้องการพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ป่วยติดเตียง แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะลดลง แต่การซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการรักษาภูมิคุ้มกันต้องการพลังงานมาก การแบ่งมื้ออาหารเป็น 3 มื้อหลักและ 2-3 มื้อเสริมจะช่วยให้การดูดซึมสารอาหารดีขึ้น อาหารควรมีเนื้อสัมผัสที่เหมาะสมกับความสามารถในการเคี้ยวและกลืนของผู้ป่วย
เมนูตัวอย่างสำหรับมื้อเช้าอาจรวมถึงข้าวต้มไก่ใส่ไข่ ผักโขมลวก และนมสด มื้อกลางวันอาจเป็นข้าวนิ่มกับปลานึ่งซีอิ๊ว เต้าหู้ต้มใส และผลไม้ มื้อเย็นอาจเป็นโจ๊กหมูสับใส่ผัก ไข่ต้ม และน้ำผลไม้สด มื้อเสริมอาจเป็นนมโปรตีน ผลไม้นุ่ม หรือขนมปังโฮลวีทกับน้ำผึ้ง การเสริมวิตามินและแร่ธาตุอาจจำเป็นตามคำแนะนำของนักโภชนาการ
การติดตามและประเมินผลการป้องกัน
การสร้างระบบติดตามและบันทึก
การบันทึกข้อมูลเป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของการป้องกันแผลกดทับ ควรมีแบบบันทึกที่รวมถึงเวลาการเปลี่ยนท่านอน สภาพผิวหนังในแต่ละจุดเสี่ยง การใช้อุปกรณ์ป้องกัน และการรับประทานอาหาร การให้คะแนนความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น Braden Scale หรือ Norton Scale จะช่วยในการประเมินและปรับแผนการดูแล
การถ่ายรูปบริเวณที่มีความเสี่ยงหรือมีการเปลี่ยนแปลงจะช่วยในการติดตามความก้าวหน้า การใช้แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการบันทึกจะช่วยให้การติดตามมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลที่บันทึกควรสามารถเข้าถึงได้โดยทีมดูแลทุกคนและสามารถนำเสนอต่อแพทย์เมื่อจำเป็น
การประเมินประสิทธิภาพและการปรับปรุง
การประเมินประสิทธิภาพของมาตรการป้องกันควรทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ การเปรียบเทียบสภาพผิวหนังปัจจุบันกับข้อมูลเดิม การวิเคราะห์ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง และการปรับแผนการดูแลตามความจำเป็น หากพบว่ามีบริเวณใดที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ต้องเพิ่มความถี่ในการดูแลและพิจารณาใช้มาตรการเพิ่มเติม
การสอบถามความคิดเห็นจากผู้ป่วยเกี่ยวกับความสบายและการยอมรับในมาตรการป้องกันต่างๆ จะช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแล การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น พยาบาลแผลหรือแพทย์ผิวหนัง เมื่อพบปัญหาที่ซับซ้อนจะช่วยให้การดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การฝึกอบรมและให้ความรู้แก่ผู้ดูแล
ความรู้พื้นฐานที่ผู้ดูแลต้องมี
ผู้ดูแลต้องเข้าใจหลักการเกิดแผลกดทับและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคพื้นฐาน โดยเฉพาะจุดที่มีกระดูกโปนออกมาและลักษณะของผิวหนังปกติ จะช่วยในการสังเกตความผิดปกติ เทคนิคการเปลี่ยนท่านอนที่ถูกต้องและปลอดภัยทั้งสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลเป็นทักษะที่จำเป็น
การใช้และดูแลอุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับต่างๆ รวมถึงการตรวจสอบการทำงานและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น เป็นความรู้ที่สำคัญ ผู้ดูแลควรรู้เกี่ยวกับหลักโภชนาการพื้นฐานและการสังเกตสัญญาณของการขาดสารอาหาร การรู้จักสัญญาณอันตรายที่ต้องปรึกษาแพทย์ทันทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
การพัฒนาทักษะการสังเกตและการตัดสินใจ
ทักษะการสังเกตเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝน การมองหาความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของผิวหนัง การสัมผัสเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิและความแข็ง และการใช้จมูกสังเกตกลิ่นผิดปกติ เป็นทักษะที่พัฒนาได้ด้วยประสบการณ์ การฝึกใช้แบบบันทึกและการให้คะแนนความรุนแรงจะช่วยให้การสังเกตมีมาตรฐาน
การตัดสินใจเมื่อพบความผิดปกติต้องอาศัยการวินิจฉัยและความรู้ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเพิ่มความถี่ในการดูแล เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนอุปกรณ์ และเมื่อไหร่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เป็นทักษะที่สำคัญ การสร้างแผนการดูแลที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จะช่วยให้การดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ป้องกันได้หากมีความรู้และการดูแลที่เหมาะสม ศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงบ้านแสนรักเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันแผลกดทับที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปีในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงหลากหลายสภาวะ ทีมงานของเราประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพที่ผ่านการอบรมเฉพาะทางด้านการดูแลแผล นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์การแพทย์ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างครบวงจร
เราให้บริการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับโดยใช้เครื่องมือมาตรฐานสากล วางแผนการป้องกันที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย และจัดหาอุปกรณ์ป้องกันแผลกดทับคุณภาพสูงจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก บริการของเรารวมถึงการฝึกอบรมผู้ดูแลในครอบครัว การติดตามประเมินผลเป็นระยะ และการดูแลแผลกดทับหากเกิดขึ้น ระบบการดูแลของเราใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น แอปพลิเคชันสำหรับบันทึกและติดตามการดูแล ระบบเตือนการเปลี่ยนท่านอน และการปรึกษาแบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ราคาบริการของเราแข่งขันได้และมีแพ็กเกจที่หลากหลายตั้งแต่การปรึกษาครั้งเดียวไปจนถึงการดูแลระยะยาว เราเข้าใจว่าการป้องกันแผลกดทับไม่ใช่เพียงแค่การใช้อุปกรณ์ แต่ต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และการดูแลอย่างต่อเนื่อง ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเรา เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ในการดูแลคนที่คุณรัก เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยจากแผลกดทับ หากต้องการคำปรึกษาหรือข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ทุกเวลา เพราะที่บ้านแสนรัก เราใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อสุขภาพที่ดีของคนที่คุณรัก